Websites ศูนย์อินเดียศึกษา
facebook page Indian Studies Center
ศูนย์อินเดียศึกษา
สารจากอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประเทศไทยกับประเทศอินเดียเริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ แต่หากมองจากมิติศาสนา วัฒนธรรม ภาษา ฯลฯ แล้ว อาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศนับย้อนกลับไปในอดีตกาลได้อย่างยาวนาน และคงไม่ผิดด้วยหากจะกล่าวว่า อัตลักษณ์ของไทยในหลายแง่ก็มีความเป็นอินเดียอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ในปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังปี พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทย/อาเซียน–อินเดียได้ดำเนินมาสู่ความใกล้ชิดมากขึ้น และยังได้ขยายขอบเขตครอบคลุมปริมณฑลด้านต่างๆ มากขึ้นด้วย รวมถึงด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และความมั่นคง
ผมรู้สึกยินดีมากที่ศูนย์อินเดียศึกษา (ศอ.) ได้พยายามสุดความสามารถเพื่อทำให้จุฬาฯ เป็นแหล่งความรู้ด้านอินเดียศึกษาในแขนงวิทยาต่างๆ หลายกิจกรรมของ ศอ. ที่ผ่านมานั้น เปิดโอกาสให้ประชาคมทั้งในและนอกรั้วจุฬาฯ มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับอินเดียนานัปการ
บัดนี้ ศอ. ได้สร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของศูนย์ และเพื่อขยายขอบเขตการเรียนรู้เกี่ยวกับอินเดีย และความสัมพันธ์ไทย/อาเซียน–อินเดีย อันจะทำให้ ศอ. เป็นแหล่งข้อมูลและความรู้ของสาธารณชนสืบไป
ผมเชื่อมั่นว่า เว็บไซต์นี้จะมีประโยชน์แก่ทุกคน โดยเฉพาะผู้สนใจด้านอินเดียศึกษาและความสัมพันธ์ไทย/อาเซียน-อินเดีย และเชื่อด้วยว่า ผู้ใช้เว็บไซต์นี้จะมีบทบาทสำคัญช่วยพัฒนาเว็บไซต์นี้ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้ข้อคิดและข้อเสนอแนะเพื่อเรียนรู้ไปด้วยกัน
ด้วยความเคารพ
ศาสตราจารย์ ดร. บัณฑิต เอื้ออาภรณ์
สารจากผู้อำนวยการ ศอ.
หากมองเพียงระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ความสัมพันธ์ไทยกับอินเดียที่เริ่มสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ต้องนับว่ามีอายุไม่นานนัก เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศที่ไทยเจริญความสัมพันธ์ด้วย ทว่าเราย่อมมิอาจละเว้นที่จะพิจารณาแง่มุมทางวัฒนธรรม ภาษา ปรัชญา ศาสนา ฯลฯ ของอินเดียที่หยั่งรากอยู่ในวิถีชีวิตไทยมายาวนาน และผสมกลมกลืนกับอัตลักษณ์ความเป็นไทยอย่างมิอาจแยกขาดจากกันได้ เช่น ศาสนาพุทธที่ชาวไทยส่วนใหญ่นับถือนั้น ถือกำเนิดในอนุทวีปอินเดีย อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดูที่มีต้นตอจากอนุทวีปอินเดียยังปรากฏให้เห็นในวัฒนธรรมไทยอย่างชัดแจ้ง และแม้แต่คำศัพท์ในภาษาไทยที่ผมใช้เขียนสารนี้ ก็มีรากเหง้ามาจากภาษาบาลีสันสกฤตเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น คงไม่ผิดอีกเช่นกัน ถ้าจะกล่าวว่า อินเดียดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ยังเป็นแหล่งอารยธรรมบ่งบอกความเป็นไทยได้มากพอสมควร
ช่างน่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียต้องชะงักงันเนื่องด้วยต่างประเทศเข้ามายึดครองอินเดียเป็นเวลานาน แม้อินเดียจะได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองระดับโลกว่าด้วยสงครามเย็น จึงทำให้ทั้งสองมิอาจดำเนินความสัมพันธ์ได้อย่างแน่นแฟ้น ครั้นเมื่อสงครามเย็นยุติลงในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ บริบทเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองประเทศหันมากระชับมิตรภาพระหว่างกันได้ในที่สุด
ปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังปี พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นต้นมา สัมพันธภาพระหว่างทั้งสองประเทศได้เข้าสู่ระดับที่เรียกได้ว่าแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ และได้ขยายขอบเขตครอบคลุมปริมณฑลเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการศึกษาด้วย ทว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะมองในระดับทวิภาคีแต่ลำพังมิได้ เพราะข้อเท็จจริงในวันนี้บ่งชี้ด้วยว่า อินเดียกับอาเซียนให้ความสำคัญแก่กันมากเป็นพิเศษ
ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อินเดียศึกษา (ศอ.) ผมมองเห็นปัญหาที่ว่า แม้สังคมไทยจะได้รับอิทธิพลจากอินเดียมาเนิ่นนาน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่เรายังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับอินเดียในหลายมิติ จึงเห็นว่า การมีเว็บไซต์ที่ดีนั้น นอกจากจะช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ ศอ. แล้ว ยังจะช่วยให้สาธารณชนมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับอินเดีย ทั้งอินเดียโบราณและอินเดียร่วมสมัยในมิติต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้งเท่าที่จะทำได้ด้วย และผมยังเชื่อมั่นด้วยว่า ข้อมูลและความรู้เหล่านี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย–ไทย/อาเซียน พัฒนาไปอย่างยั่งยืน
ท้ายสุดนี้ ผมใคร่ขอให้ผู้ใช้เว็บไซต์นี้ช่วยติชม เพื่อพัฒนาเว็บไซต์นี้ให้เป็นแหล่งข้อมูลและความรู้ด้านอินเดียศึกษาที่ดีที่สุดในสังคมไทย
ด้วยประณาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุรัตน์ โหราชัยกุล
ประวัติความเป็นมาของ ศอ.
ศูนย์อินเดียศึกษา (ศอ.) จัดตั้งตามมติสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ ๗๓๒ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ เริ่มปฏิบัติงานเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเจิมป้ายและเปิด ศอ. อย่างเป็นทางการ
ศอ. มีวัตถุประสงค์หลัก ๓ ประการ ได้แก่
- เป็นแหล่งความรู้ทางวิชาการด้านอินเดียศึกษา
- พัฒนาเครือข่ายทางวิชาการด้านอินเดียศึกษา
- ส่งเสริมความสัมพันธ์อันยั่งยืนระหว่างประชาชนไทยกับอินเดีย
ศอ. มีภารกิจหลัก ๒ ประการ ได้แก่
- จัดบรรยายสาธารณะและกิจกรรมทางวัฒนธรรม ตลอดจนผลิตสื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ
- อำนวยความสะดวกในการศึกษา – วิจัย ของนักวิชาการและนิสิต
ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ศอ. ได้ย้ายมาสังกัดสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ชื่อและโลโก้ ศอ.
ชื่อ ศอ.
- ชื่อเต็มภาษาไทย : ศูนย์อินเดียศึกษา
- ชื่อย่อภาษาไทย : ศอ.
- ชื่อเต็มภาษาฮินดี : चूड़ालंकरण विश्वविद्यालय का भारतीय अध्ययन केंद्र
- ชื่อย่อภาษาฮินดี : चू.भा.कें.
- ชื่อเต็มภาษาอังกฤษ : Indian Studies Center
- ชื่อย่อภาษาอังกฤษ : IS
โลโก้ ศอ.
- ศอ. มีโลโก้ทั้งหมด ๓ แบบ แต่ละแบบประกอบด้วยตราสัญลักษณ์พระเกี้ยว และชื่อ ศอ. เป็นภาษาไทย ฮินดี และอังกฤษตามลำดับ ศอ. จะใช้โลโก้แบบที่ ๑ (ไม่มีกรอบ) แบบที่ ๒ (มีกรอบ) หรือแบบที่ ๓ (วงกลม) เท่านั้น
- ศอ. นิยมใช้โลโก้แบบที่ ๑ และ ๒ ในป้ายประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ และใช้แบบที่ ๓ เป็นภาพ Profile เฟสบุ๊คของ ศอ. ซึ่งมีชื่อว่า Indian Studies Center
แบบที่ ๑
แบบที่ ๒
แบบที่ ๓
ชื่อและโลโก้ คนบ. จุฬาฯ
ชื่อของ คนบ. จุฬาฯ
- ชื่อเต็มภาษาไทย : เครือข่ายคลังสมองนโยบายของบิมสเทค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ชื่อย่อภาษาไทย : คนบ. จุฬาฯ
- ชื่อเต็มภาษาอังกฤษ : BIMSTEC Network of Policy Think Tanks, Chulalongkorn University
- ชื่อย่อภาษาอังกฤษ : BNPTT, CU
โลโก้ คนบ. จุฬาฯ
แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับอินเดีย
- สถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย
- Facebook สถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย
- สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี
- Facebook สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี
- สำนักวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- Facebook สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- Facebook ศอ.