บทความของศูนย์แม่โขงศึกษา

ศูนย์แม่โขงศึกษา

facebook page Mekong Chula | Facebook

แม่น้ำโขงเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป โดยไหลผ่านดินแดนของประเทศต่างๆ  ถึง 6 ประเทศ ได้แก่ จีน (มณฑลยูนนาน) พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม แม่น้ำโขงจึงเป็นแหล่งรวมของความหลากหลายทางอารยธรรม ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์ ที่หล่อหลอมขึ้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของภูมิภาคนี้ วิถีชีวิตของประชาชนทั้ง 6ประเทศต่างผูกพันกับแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางนิเวศวิทยาสูงนี้ ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เองที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่มีวิถีชีวิตเกี่ยวโยงกับแม่น้ำสายนี้

สถาบันเอเชียศึกษามีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมาเป็นระยะเวลานาน ในเบื้องต้นนั้นได้มีการจัดตั้งโครงการเครือข่ายแม่น้ำโขง (Mekong Development Research Network) ขึ้นในปี พ.ศ.2536 เพื่อเป็นศูนย์บริหารและประสานงานกับหน่วยงานและประเทศที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรจากแม่น้ำโขง โดยได้ให้การสนับสนุนการทำวิจัยระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการทรัพยากรลุ่มแม่น้ำโขง และจัดประชุมปรึกษาหารือร่วมกันในการใช้ทรัพยากรของแม่น้ำสายนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีผลงานอาทิ Maps of International Borders Between Mainland Southeast Asian Countries and Background Information concerning population Movements at these Borders (1998)           การที่แม่น้ำโขงตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญได้กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาค้นคว้าประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับดินแดนบริเวณดังกล่าว ทั้งจากองค์กรของรัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และตั้งแต่ช่วงหลังสงครามเย็นเป็นต้นมาแม่น้ำโขงได้ทวีความสำคัญอย่างเป็นพลวัต อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ ดังนั้น สถาบันเอเชียศึกษาจึงเห็นความจำเป็นในการศึกษาทำความเข้าใจแม่น้ำโขงในมิติต่างๆ และได้ขยายโครงสร้างของงานจากโครงการเครือข่ายแม่น้ำโขงมาเป็นศูนย์แม่โขงศึกษาเพื่อสานต่อและพัฒนาความรู้ในปี พ.ศ.2544 โดยเน้นถึงการศึกษาพลวัตของแม่น้ำโขงอันสัมพันธ์กับสถานการณ์ปัจจุบัน และยังได้ขยายความสนใจไปสู่ประเด็นฐานรากของแม่น้ำโขง อันได้แก่ ประวัติศาสตร์ ผู้คน และวัฒนธรรม โดยมองแม่น้ำโขงในฐานะที่เป็นสายน้ำที่มีชีวิต

ขอบเขตการดำเนิน

ศูนย์แม่โขงศึกษา เป็นหน่วยงานภายใต้สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มุ่งศึกษาวิจัย ค้นคว้า และเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง  อันประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีนตอนใต้ โดยเน้นวิธี การศึกษาที่เรียกว่า อาณาบริเวณศึกษา ที่มุ่งอธิบายความเปลี่ยนแปลงจากมุ่งมองภายใน ของประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงมุมมองภายในของประเทศ ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรอบด้านและเป็นจริง นอกจากนี้ ยังมองการเปลี่ยนแปลงในเชิงของการเป็นอนุภูมิภาค (sub-region) เนื่องจากประเทศในอนุภูมิภาคฯ ล้วนมีความใกล้ชิดทางด้านภูมิศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม อีกทั้งยังมีประสบการณ์ร่วมในพัฒนาการของประเทศที่คล้ายคลึงกัน ตลอดจนการเชื่อมโยง ระหว่างกัน (Connectivity) ที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งทางกายภาพ ความเชื่อมโยงของ องค์กร ตลอดจนการเชื่อมโยงของประชาชน ที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่ สนับสนุนให้เกิดการยกระดับของการบูรณาการภายในอนุภูมิภาคฯ และก่อให้เกิดการ ประสานประโยชน์ร่วมกันที่มากขึ้น  องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาเหล่านี้ ศูนย์ฯ ได้ผลักดันให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในทุกภาคส่วนของสังคม ผ่านการบริการด้านวิชาการ ทั้งการจัดสัมมนาทางวิชาการ การให้คำปรึกษาทั้งกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยเฉพาะการเข้าไปมีส่วน ร่วมในการกำหนดนโยบายที่สำคัญของประเทศ เพื่อให้องค์ความรู้เหล่านี้สามารถก่อให้เกิด ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง

วัตถุประสงค์

1) เพื่อศึกษาค้นคว้าทางวิชาการใน เรื่องที่เกี่ยวกับอนุภูมิภาคลมุ่แม่น้ำ โขง ซึ่งกำลังพัฒนาเข้าสู่การเป็น ประชาคมอาเซียน

2) เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าอ้างอิง ให้ คำปรึกษา และเสริมสร้างความ เข้าใจ ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในเรื่องที่ เกี่ยวกับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

3) เพื่อพัฒนาให้เกิดเครือข่ายความ ร่วมมือทางวิชาการ ทั้งใน ระดับชาติ และระดับนาชาติ

การให้บริการด้านวิชาการ

1) เป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานรัฐ และเอกชนในการศึกษาหรือทำ โครงการเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน

2) จัดอบรมองค์ความรู้เกี่ยวกับ ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

3) บรรยายในหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน และการจัดการเรียน การสอน ตลอดจนการตีพิมพ์ บทความทางวิชาการ และเผยแพร่ ผ่านสื่อแขนงต่าง ๆ

4) การจัดสัมมนาวิชาการเผยแพร่ ประจำปีของศูนย์

มองมนุษยนิยมเอเชียจากบทเรียนลุ่มน้ำโขง

ดร.ฐณยศ โล่ห์พัฒนานนท์
นักวิจัยศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Thanayod.lo@chula.ac.th

ความเข้าใจมนุษยนิยมเอเชียในปัจจุบัน

แนวคิดมนุษยนิยมเริ่มก่อเกิดในฐานะปรัชญายุคเรอเนสซองส์ โดยให้น้ำหนักแก่ศักยภาพของมนุษย์มากกว่าการพึ่งพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์ มนุษยนิยมมุ่งส่งเสริมความคิดว่า การพัฒนาคุณธรรมสามารถก่อเกิดได้ด้วยบุคคลเอง ตั้งแต่ความเมตตา ความกล้าหาญ ไปจนถึงปัญญาและความยุติธรรม ทั้งยังเชื่อว่า ศักยภาพนี้จะนำไปสู่การปฏิรูปวัฒนธรรมรวมทั้งสร้างสังคมอุดมคติในที่สุด [1]

คำว่า “มนุษยนิยม” เริ่มปรากฏในศตวรรษที่ 19 เพื่ออธิบายกระแสการฟื้นฟูตำราคลาสสิก (เช่น ปรัชญา วาทศิลป์ ประวัติศาสตร์) ของกรีก-โรมันยุคเรอเนสซองส์ เรียกว่า “อุมานิสติ” (umanisti) แนวคิดพื้นฐานมาจากค่านิยม “ฮิวมานิตัส” (humanitas) ของโรมันที่เน้นการพัฒนามนุษย์อย่างรอบด้าน แต่ในบริบทยุโรปยุคกลาง มนุษยนิยมคือการท้าทายอำนาจของศาสนาที่พยายามกำหนดชีวิตผู้คน

แม้กระนั้น แนวคิดมนุษยนิยมไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในบริบทยุโรป ทว่าพบได้ในสารบบของเอเชีย อย่างเช่น มนุษยนิยมขงจื๊อซึ่ง Gier และ Huang ชี้ว่า เน้นการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับจักรวาล [2][3] มนุษยนิยมขงจื๊อยังให้ความสำคัญกับจริยธรรมและความสมดุลระหว่างการกระทำของมนุษย์กับระเบียบแห่งสวรรค์ 

มนุษยนิยมเอเชียสายชมพูทวีปอาจแตกต่างออกไป ดังเห็นได้จากปรัชญาพุทธที่สนับสนุนการเข้าถึงสุขภาวะด้วยความสามารถของมนุษย์เองและให้ยึดหลักพรหมวิหารสี่เพื่อเสริมค่าความเป็นคน นี่คือมุมมองต่อมนุษย์ที่สามารถสร้างสังคมอันอุดมด้วยความรัก [4]

แต่มนุษยนิยมเอเชียก็มีความหลากหลาย และไม่ได้อุบัติในรูปของปรัชญาคำสอนเสมอไป มนุษยนิยมในแบบชาวลุ่มแม่น้ำโขงคือตัวอย่างหนึ่ง เพราะฝังอยู่ในธรรมเนียมประเพณีกับประวัติศาสตร์สังคมมาอย่างยาวนาน หากศึกษาอย่างจริงจัง จะพบว่า แนวคิดมนุษยนิยมแห่งลุ่มน้ำโขงไม่ได้ติดอยู่ในกรอบคัมภีร์ใด ทั้งยังได้รับการยอมรับในฐานะวิถีปฏิบัติที่มีชีวิตเพื่อถักทอความสัมพันธ์ของผู้คนในภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น มนุษยนิยมลุ่มน้ำโขงอาจจะมิใช่เพียงเพื่อเชิดชูศักดิ์ศรีปัจเจกบุคคล แต่เพื่อรองรับภราดรภาพและความเข้าอกเข้าใจกันแม้ในวิกฤตการณ์ลุ่มน้ำโขงซึ่งหลายฝ่ายกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน


วิถีลุ่มน้ำโขงกับสายสัมพันธ์เชิงนิเวศ

สังคมลุ่มแม่น้ำโขงได้วางฐานความคิดว่า มนุษย์มิใช่ผู้พิชิตธรรมชาติ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน ปรัชญานี้ถูกหล่อหลอมและสั่งสมผ่านพิธีกรรมกับประเพณีหลากหลาย เช่น บุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีร่วมในวัฒนธรรมไท-ลาว-เขมร บุญบั้งไฟเป็นภาษาสัญลักษณ์ ชุมชนใช้บั้งไฟสื่อสารกับธรรมชาติโดยกำหนดให้เป็นสื่อกลางการติดต่อกับแถน หรือ ผีฟ้าเป็นผู้ควบคุมสรรพชีวิต ทั้งนี้เพื่อขอให้ประทานฝนตามฤดูกาล [5] ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่การยอมจำนนต่ออำนาจบนฟ้า แต่เป็นการอ้อนวอนและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอำนาจนั้น เปรียบเสมือนการยอมรับพลังที่อธิบายไม่ได้และความพยายามปรับตัวเข้าหาอย่างถ่อมตน

ตัวอย่างดังกล่าวนำไปสู่นิยามของมนุษย์ที่ดีในสายตาของชาวลุ่มน้ำโขง มนุษย์ที่ดีไม่จำเป็นต้องร่ำรวย หรือ มีอำนาจสูงสุด แต่ต้องอยู่อย่างพอดี รู้ขอบเขตตนเอง และไม่ทำลายสมดุลชีวิตรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ แม่น้ำ สัตว์ป่า หรือแม้แต่จิตวิญญาณที่คอยปกปักรักษาท้องถิ่น การใช้ชีวิตอย่างพอประมาณและเคารพในวงจรชีวิตจึงเป็นจริยธรรมสูงสุด

ด้วยเหตุข้างต้น วิถีลุ่มน้ำโขงไม่ใช่แค่รูปแบบการดำรงชีพ แต่ให้คุณค่ากับมนุษย์ในฐานะส่วนหนึ่งของระบบนิเวศอันใหญ่กว่า มนุษย์มีศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่อาจแยกตัวออกมาจากธรรมชาติ นี่คือจุดต่างจากแนวคิดของขงจื๊อซึ่งเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางและสร้างระเบียบเพื่อความสงบของสังคม แต่มนุษยนิยมแห่งลุ่มน้ำโขงมุ่งสร้างคนดีที่อยู่ร่วมกับทุกสรรพสิ่งได้อย่างเป็นสุข

ภาพ 1: พิธีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร – ตัวอย่างของการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับฟ้าซึ่งสะท้อนความเชื่อในพลังธรรมชาติของชาวลุ่มโขง

ภาพที่ 1: พิธีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร – ตัวอย่างของการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับฟ้าซึ่งสะท้อนความเชื่อในพลังธรรมชาติของชาวลุ่มโขง
ที่มา: https://www2.yasothon.go.th/people-of-kut-chum-yasothon-flock-to-sing-in-a-city-wide-dance-sending-a-message-to-phaya-taen-to-continue-the-legend-of-the-greatest-rocket-festival-in-2568/


ความสัมพันธ์แบบชุมชน: เครือญาติข้ามพรมแดน

ความสัมพันธ์ในลุ่มน้ำโขงมีลักษณะพิเศษ แม้จะยังมีความเคารพต่อผู้ใหญ่และลำดับชั้น แต่จิตสำนึกพื้นฐานคือการมองว่าทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายชีวิตเดียวกัน ความสัมพันธ์จึงคล้ายพี่น้องร่วมพึ่งพาสายน้ำมากกว่าจะเป็นการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นอย่างในหลักขงจื๊อ

ในการนี้ น้ำคือศูนย์กลางของความเป็นญาติ ทำให้หมู่บ้านตามสองฝั่งโขงในไทย ลาว กัมพูชามีสายเลือดและวัฒนธรรมร่วม พิธีกรรมอย่างบุญเดือนสิบ หรือ บุญข้าวสากที่มีการแลกเปลี่ยนอาหารและแบ่งปันผลผลิตเป็นพิธีที่ย้ำเตือนความเป็นเครือญาติ ขณะที่เส้นแบ่งรัฐชาติเป็นเรื่องทางภูมิรัฐศาสตร์และบางครั้งก็มีนัยแข็งทื่อเมื่อเทียบกับสายสัมพันธ์ดังกล่าว [6]

อาจมองได้ว่า ความเป็นพี่น้องและเครือญาตินี้เป็นรากฐานของคุณค่ามนุษย์แบบชุมชนร่วมใจ ความเข้มแข็งของชุมชนลุ่มน้ำโขงจึงไม่ได้อยู่ที่การมีผู้นำเข้มแข็งที่สุด แต่อยู่ที่ความหนาแน่นของสายสัมพันธ์ และนี่คือภูมิปัญญาซึ่งทำให้สังคมลุ่มน้ำโขงดำรงอยู่ได้หลายชั่วอายุคน


โลกของผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์: การอยู่ร่วมกับสิ่งที่มองไม่เห็น

ขงจื๊อยึดหลักไม่พูดเรื่องผีสางเทวดาและความเร้นลับ แต่เน้นการสร้างระเบียบสังคมผ่านจารีตและศีลธรรมระหว่างมนุษย์ด้วยกัน โดยจงใจวางประเด็นชีวิตหลังความตายไว้ในที่มืดด้วยพิสูจน์ไม่ได้และอาจเบี่ยงเบนความสนใจจากเป้าการปกครองกับเป้าศีลธรรม

แต่สำหรับชาวลุ่มน้ำโขง โลกนี้ไม่ได้มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ทว่ามีเพื่อนจากอีกภพภูมิ ทั้งยังไม่อาจนับเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่อยู่ห่างไกล [7] 

ผีบ้าน ผีเรือน คือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ผีเหล่านั้นยังคงดูแลลูกหลาน ผีน้ำ ผีป่า คือจิตวิญญาณ หรือ ผู้คุ้มครองระบบนิเวศ การเคารพผีจึงไม่ต่างจากการรักษาสมดุลเชิงนิเวศและสังคม รวมไปถึงความเคารพต่อโลก 

สำหรับคนในพื้นที่ การเซ่นไหว้ผีป่า ผีน้ำ อาจไม่ได้เกิดจากความกลัวอย่างงมงายเท่านั้น หากแต่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมสำหรับรักษาสมดุล เช่น การห้ามตัดไม้ในป่าศักดิ์สิทธิ์คือการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำโดยใช้ความเชื่อเป็นเครื่องมือ การไม่ทำประมงในช่วงพิธีกรรม หรือ ในวาระสำคัญของผีน้ำคือการให้เวลาธรรมชาติได้ฟื้นฟู ข้อห้ามเกี่ยวกับการล่าสัตว์บางชนิดด้วยความเชื่อว่า เป็นสัตว์คู่บุญของผี คือการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

มนุษย์ผู้มีคุณค่าในมุมนี้จึงหมายถึงมนุษย์ผู้มองเห็นและให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยงทั้งหมด การรู้จักเคารพสิ่งที่มองไม่เห็นเท่ากับการมีวินัยในใจ ไม่แสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยัง เพราะรู้ว่า มีเพื่อนร่วมโลกกับผู้มีอำนาจสูงกว่าคอยเฝ้ามอง


มนุษยนิยมเชิงจิตวิญญาณ 

จากความเป็นไปข้างต้น “มนุษยนิยมเชิงจิตวิญญาณ” อาจเป็นคำนิยามคุณค่ามนุษย์ในบริบทความเชื่อนี้ กล่าวคือ มนุษย์มีคุณค่าไม่ใช่เพราะมีเหตุผล หรือ ศีลธรรมเพียงอย่างเดียว (ดังเช่นในแนวคิดของขงจื๊อ หรือ มนุษยนิยมตะวันตกคลาสสิก) แต่เพราะมนุษย์มีความสามารถที่จะรับรู้ สื่อสาร และสร้างสัมพันธ์กับมิติของจิตวิญญาณรอบตัว

ดังนั้นมนุษย์ในโลกทัศน์ลุ่มน้ำโขงจึงเป็นบุคคลในเครือข่ายสัมพันธ์ที่ใหญ่กว่าเครือญาติและชุมชน สมาชิกต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรพบุรุษ (ผีปู่ย่า) กับธรรมชาติ (ผีป่า ผีน้ำ) และกับพลังแห่งท้องถิ่น (ผีบ้าน) การจะอยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุขได้นั้น ต้องอาศัยการรักษาสมดุลในเครือข่ายสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ให้ได้ซึ่งจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันกับสรรพสิ่งอย่างร่มเย็น

โลกของผีในลุ่มน้ำโขงจึงอาจไม่ใช่โลกแห่งความงมงาย แต่เป็นโลกแห่งจริยธรรมเชิงนิเวศที่ซับซ้อน มีชีวิตชีวา นี่เป็นสัญญาณของการเชิดชูมนุษย์รูปแบบหนึ่งโดยมุ่งยกระดับจิตสำนึกของบุคคลให้ถ่อมตน และรู้ว่า มีพันธะที่ต้องดูแลรักษาระบบทางใจ


พหุนิยมทางความเชื่อและชาติพันธุ์

ระบบคิดแบบขงจื๊อ หรือ กระทั่งพราหมณ์ยุคโบราณมีแนวโน้มสร้างศูนย์กลางกับลำดับชั้น แต่ประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำโขงกลับบ่มเพาะนิสัยใจคอที่ต่างออกไป

แม่น้ำโขงเป็นเหมือนเส้นทางไหลเวียนของผู้คน วัฒนธรรม และความเชื่อมากกว่าจะเป็นจุดรวมศูนย์ ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นไทดำ ม้ง ลาวพวน เขมร จาม หรือกลุ่มอื่น ต่างอพยพ แลกเปลี่ยน และตั้งรกรากในภูมิภาค นำโลกทัศน์และพิธีกรรมของตนมาปฏิบัติ และในที่สุดก็เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน

ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือการที่พุทธศาสนาเถรวาทไม่ได้เข้ามาแทนความเชื่อดั้งเดิมเรื่องผี แต่กลับประสานเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น วัดพุทธอาจเป็นศูนย์กลางของชุมชน แต่ในบ้านทุกหลังก็มีศาลผีบรรพบุรุษ พราหมณ์อาจมีบทบาทในพระราชพิธี หมอผี หรือ หมอทรงก็มีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คน ความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกันในมุมมองของชาวบ้าน แต่อยู่ร่วมในระบบนิเวศเดียวกันโดยตอบโจทย์ความต้องการทางจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน

มนุษย์ที่ดีจึงต้องทำหน้าที่ของผู้ปรับตัว ไม่ใช่ผู้ตัดสิน มนุษย์ที่ดีไม่อาจเป็นผู้ยึดติดกับความจริงเพียงชุดเดียว มนุษย์ที่ดีคือผู้ที่เข้าใจว่า โลกนี้มีวิธีคิดและวิธีอันหลากหลาย ไม่รีบวิพากษ์ความเชื่อ หรือ วิถีชีวิตของเพื่อนต่างชาติพันธุ์ ในแง่นี้คุณค่ามนุษย์ยึดโยงกับพหุนิยมเพื่อรักษาความยืดหยุ่นกับความยั่งยืน และจิตวิญญาณแห่งการอยู่ร่วมอย่างหลากหลายนี้ทำให้สังคมลุ่มน้ำโขงดูดซับความเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ มันเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งซึ่งสอนให้รู้ว่า ความเข้มแข็งของชุมชนไม่ได้มาจากความเหมือน แต่มาจากความสามารถในการร้อยเรียงความต่างให้เป็นเครือข่าย มองคุณค่าของมนุษย์จากความสามารถในการสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของแม่น้ำที่รับเอาสายน้ำทุกสาขาเข้ามารวมกันเป็นพลัง

ภาพ 2: แม่น้ำโขงมุมสูง อำเภอเชียงคาน – สายน้ำที่เป็นทั้งทรัพยากร ชีวิต และจิตวิญญาณร่วมของภูมิภาค

ภาพที่ 2: แม่น้ำโขงมุมสูง อำเภอเชียงคาน – สายน้ำที่เป็นทั้งทรัพยากร ชีวิต และจิตวิญญาณร่วมของภูมิภาค
ที่มา: https://1672travelbuddy.com/ที่เที่ยวภาคอิสาน/เลย/✨เชียงคาน-เลย✨/


น้ำในฐานะจิตวิญญาณร่วม

ในโลกของลุ่มน้ำโขง น้ำไม่ได้เป็นเพียงทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือจิตวิญญาณหล่อเลี้ยงชีวิต ทั้งยังเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน [8] ช่วยสร้างการยอมรับและหล่อหลอมความหลากหลายโดยไม่ยึดติดรูปแบบตายตัว คุณค่าของมนุษย์ในพื้นที่อาจเทียบได้กับคุณสมบัติของน้ำดังนี้

  1. น้ำรู้จักปรับตัว เปลี่ยนรูปร่างไปตามภาชนะ ไหลอ้อมภูเขา เปลี่ยนเส้นทาง ไม่ดื้อดึงตายตัว มนุษย์ลุ่มน้ำโขงก็เช่นกัน ต้องรู้จักปรับตัวกับฤดูกาล กับเพื่อนบ้าน และกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
  2. น้ำมีพลังชำระล้างและให้เริ่มต้นใหม่ทุกปีดังเห็นจากพิธีกรรม เช่น ลอยกระทง ที่ลอยความทุกข์โศกโรคภัยไปกับสายนที นี่คือการสอนให้มนุษย์รู้จักปล่อยวาง และให้อภัย ไม่ยึดติดกับความผิดพลาดขัดแย้ง
  3. น้ำอ่อนโยนแต่มั่นคง ดูนุ่มนวลแต่มีพลัง สามารถกัดเซาะผาหินในระยะยาว นี่สะท้อนถึงความเข้มแข็งของชาวลุ่มน้ำโขงที่ไม่ใช่การต่อสู้แบบฟาดฟัน แต่คือความอดทน รวมทั้งความสามารถในการอยู่รอดผ่านกาลเวลา

อาจกล่าวได้ว่า หนึ่งในคุณค่ามนุษย์คือการมีหัวใจเหมือนน้ำ ไม่ยึดติดกับอัตตาจนไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น มนุษยนิยมจากบทเรียนลุ่มน้ำโขงจึงอาจหมายถึงมนุษย์ผู้มีค่าในแบบเปิดกว้าง โอบรับ และให้อภัย และความเป็นไปนี้เองที่ทำให้สังคมลุ่มน้ำโขงผ่านประวัติศาสตร์มานานนับพันปีโดยยังรักษาแก่นแท้ของตัวเองไว้

ภาพ 3: ชาวประมงบนสายน้ำโขง – ตัวอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเป็นจิตวิญญาณร่วมของผู้คนทั้งภูมิภาค

ภาพที่ 3: ชาวประมงบนสายน้ำโขง – ตัวอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเป็นจิตวิญญาณร่วมของผู้คนทั้งภูมิภาค
ที่มา: https://theisaanrecord.co/2022/06/16/community-rights-in-thai-version/


มนุษยนิยมเอเชียในภาพรวม

เมื่อรวมเสียงจากลุ่มน้ำโขงเข้าไป มนุษยนิยมเอเชียกลับไม่ใช่เรื่องของศีลธรรม หรือ กฎระเบียบเพื่อระเบียบสังคมเพียงอย่างเดียว แต่คือเรื่องของความสัมพันธ์เชิงชีวิต ทำให้เห็นว่า มนุษย์ไม่ใช่เพียงผู้ทำหน้าที่ แต่คือผู้เข้าใจและเชื่อมโยง มนุษยนิยมเอเชียจึงยืนอยู่บนฐานของความเข้าอกเข้าใจและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว มนุษย์ไม่ได้มีค่าอย่างโดดเดี่ยว แต่มีค่าจากความสามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น และ/หรือ ทำให้สังคมรอบข้างมีความหมายมากขึ้น

ณ จุดนี้มนุษยนิยมเอเชียเหมือนกับมนุษยนิยมตะวันตกตรงความเชื่อมั่นในคุณค่ามนุษย์ แต่ก็ต่างด้วยหลักคิด ขณะที่มนุษยนิยมตะวันตกพูดถึงเสรีภาพของปัจเจก มนุษยนิยมเอเชียกลับพูดถึงหัวใจที่เชื่อมโยงเข้าหากันดังเช่นชีวิตในลุ่มน้ำโขง

ความเข้าใจมนุษยนิยมเอเชียช่วยให้เห็นปรากฏการณ์หลายอย่างชัดขึ้น คอนเทนต์เอเชีย เช่น ภาพยนตร์ หรือ ซีรีส์จากเกาหลีใต้ ไทย จีน ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะโลกกำลังโหยหาความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ไม่ใช่แค่ความสำเร็จส่วนตัว ความเข้าใจมนุษยนิยมเอเชียยังอาจช่วยวิเคราะห์บทบาทวัฒนธรรมเอเชียในยุคการทูต หรือ รองรับงานยุทธศาสตร์เชื่อมโยงไทย-นานาชาติ เพราะมันคือหัวใจของการใช้ชีวิตแบบตะวันออกซึ่งกำลังเป็นที่ไขว่คว้าในหลายภูมิภาค 

ไม่ว่าอย่างไร เมื่อมนุษยนิยมเอเชียถือว่า ศักยภาพของมนุษย์ไม่ได้เกิดจากการแยกตัว แต่จากการอยู่ร่วม บทเรียนจากลุ่มน้ำโขงจึงมิใช่เพียงเรื่องของวัฒนธรรมภูมิภาค หากคือคำเชื้อเชิญให้เรามองมนุษย์ด้วยใจที่เชื่อมถึงชีวิตรอบข้าง


อ้างอิง

[1] Patel, Chirag, and Rishabh Prasad. The Real History of Humanism. The Hidden History of Humanism Series, Part 1. 2021.

[2] Gier, Nicholas F. The Virtues of Asian Humanism. The Journal of Oriental Studies, Vol. 12, 2002, pp. 174–188.

[3] Huang, Chun-chieh. “Humanism in East Asia.” In The Oxford Handbook of Humanism, edited by Anthony B. Pinn. Oxford: Oxford University Press, 2020. https://doi.org/10.1093/oxfordhb/9780190921538.013.31

[4] Keown, Damien. Buddhism: A Very Short Introduction. Oxford: Oxford University Press, 2013.

[5] รัชชัย ขยันทำ. (2566). วัฒนธรรมความเชื่อที่เกี่ยวข้องประเพณีบั้งไฟของคนอีสาน [Culture beliefs about the fireball traditions of Isan people]. วารสารปริทรรศน์ทางปรัชญา (Journal of Philosophical Vision), 22(2), 89–99.

[6] กฤษดา บุญชัย. (2553). ประวัติศาสตร์ “ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” [The History of “Mekong Region”]. วารสารชุมชนลุ่มน้ำโขง (Journal of Mekong Community), 6(1), 85–106. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน).

[7] พระครูภัทริวิสุทธิ์ภัทร, พระมหาประหยัด ปญฺญาวุโธ, พระมหาประทีป อภิปุณฺโณ, พระมหาประสิทธิ์ อภิปุณฺโณ, พระวินัยชัย อภิญฺญาโต, และเจษฎา บุญยาพอ. (2558). ศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อเรื่องพระยาแถน พญานาค และการถือผีของประชาชนสองฝั่งโขง: กรณีศึกษาจังหวัดหนองคายและนครหลวงเวียงจันทน์ [A comparative study of beliefs about Phaya Thaen, Naga, and spirit worship of people on both sides of the Mekong River: A case study of Nong Khai and Vientiane]. วารสารศรีล้านช้างปริทรรศน์ (Srilanchang Review), 1(2), 1–18. วิทยาลัยศรีล้านช้าง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

[8] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2554). ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมลุ่มแม่น้ำโขง [Document on the consideration of a motion requesting the House of Representatives to establish an ad hoc committee to study environmental problems in the Mekong River Basin]. กรุงเทพมหานคร: สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.


บทความล่าสุด

ข้อเสนอเชิงนโยบาย “รู้อดีต เข้าใจปัจจุบัน สู่อนาคต ACMECS”
ข้อเสนอเชิงนโยบาย “รู้อดีต เข้าใจปัจจุบัน สู่อนาคต ACMECS”

บทความนี้เป็นการสรุปสาระสำคัญและข้อเสนอเชิงนโยบาย (Policy Recommendation) จากงานสัมมนา ACMECS FORUM เรื่อง “รู้อดีต เข้าใจปัจจุบัน สู่อนาคต ACMECS” ณ ห้องประชุม Social Innovation Hub อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. จัดโดย สถาบันเอเชียศึกษา

ดร.มุกดา ประทีปวัฒนะวงศ์
2567
กระแสเอเชีย
สถานการณ์อุตสาหกรรมการพนันในกัมพูชาและบทบาทของจีน
สถานการณ์อุตสาหกรรมการพนันในกัมพูชาและบทบาทของจีน

โดย ดร.กุลนรี นุกิจรังสรรค์ กัมพูชาอนุญาตให้มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการพนันได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยอุตสาหกรรมการพนันสร้างรายได้ให้กับประเทศมหาศาลและทำให้กัมพูชากลายเป็นประเทศที่มีคาสิโนมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ตามมาด้วยเมียนมา ลาว และฟิลิปปินส์) ปัจจุบันคาสิโนมักกระจุกตัวอยู่บริเวณช

ดร.กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2566
กระแสเอเชีย
เวียดนาม ๑ ปี หลัง CPTPP เร็วไป เกินจะตัดสิน “ได้” หรือ “เสีย”
เวียดนาม ๑ ปี หลัง CPTPP เร็วไป เกินจะตัดสิน “ได้” หรือ “เสีย”

โดย ภาณุรักษ์ ต่างจิตร หลัง CPTPP  มีผลบังคับใช้ (๑๔ มกราคม ๒๕๖๒) ยังยากที่จะแยกผลประโยชน์ของ CPTPP ออกจาก FTA อื่นๆ ที่เวียดนามเข้าร่วม แม้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามประเมินว่าจะช่วยขยายตลาด และเพิ่มการส่งออก แต่การส่งออกไปตลาด CPTPP ปี ๒๕๖๒ ยังเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ยกเว้นเม็กซิโกแ

ภาณุรักษ์ ต่างจิตร
2563
กระแสเอเชีย
ความปกติใหม่ ใน ทะเลจีนใต้
ความปกติใหม่ ใน ทะเลจีนใต้

โดย ศูนย์แม่โขงศึกษา  สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่โลกเผชิญกับโรคระบาด ปักกิ่งกลับขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้อย่างก้าวร้าว จนถูกกล่าวหาว่า  “ฉวยโอกาส” จากวิกฤต เพื่อเปลี่ยนกฎของเกมตามต้องการหรือแท้จริงแล้วเป็นการดำเนินการตามเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่พญามังกรได้วางไว้แม้ โควิด-

ศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2563
กระแสเอเชีย
เลือกตั้งเมียนมา ๒๕๖๓ หนังคนละม้วน
เลือกตั้งเมียนมา ๒๕๖๓ หนังคนละม้วน

เมียนมากำลังจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ๓๗ ล้านคน และพรรคการเมืองประมาณ ๙๗ พรรค ที่ยื่นจดทะเบียนต่อ UEC (Union Election Commission) แม้จะเป็นประเด็นเห็นต่างในหมู่พรรคการเมืองจากสถานการณ์การระบาดของ โควิด-๑๙ ซึ่งพรรคเล็กๆ มองว่า โรคระบาดจะทำให้มีผู้มา

ศูนย์แม่โขงศึกษา
2563
กระแสเอเชีย

ที่ตั้งสถาบัน (ศูนย์แม่โขงศึกษา)

สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Institute of Asian Studies Chulalongkorn University)

อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ชั้น 3 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

02-218-7468

02-218-7459