บทความของศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษา

facebook page JapanAsean Chula | Facebook

ศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษา

ในปี 2018 โครงการญี่ปุ่นศึกษาได้รับการยกระดับขึ้นเป็นศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษา เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีความเชื่อมโยงกับการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และสถานการณ์ที่ประเด็นปัญหาของสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในแง่ความซับซ้อนของปัญหา และความซับซ้อนของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งระหว่างภาคีในประเทศและระหว่างประเทศ การรับมือกับประเด็นทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีมิติที่ซับซ้อนนี้ ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่กว้างขวางกว่าความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี   

ศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษา มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาวิจัยในมิติต่างๆของความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับอาเซียน สร้างเครือข่ายนักวิชาการและผู้สนใจทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เผยแพร่ความรู้และผลงานวิจัยให้แก่สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการและเอกชน ในรูปแบบต่างๆ เช่น การสอน การจัดประชุม สัมมนา ผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีและเพื่อประโยชน์ของความร่วมมือกันต่อไป

LGBT กับการต่างประเทศของญี่ปุ่น

โดย ดร.ทรายแก้ว ทิพากร


                                                                                      

เมื่อปลายเดือนเมษายนได้มีการจัดงาน Tokyo Rainbow Pride ครั้งที่ 22 ในกรุงโตเกียว เป็นงานที่มีการรวมตัวของชาว LGBTQ กว่า 10,000 คน ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย งานดังกล่าวปกติจะมีการจัดงานกันทุกปี ยกเว้นในช่วงการระบาดของโรคโควิดทำให้ต้องงดการจัดงานไป งาน Tokyo Rainbow Pride จัดขึ้นโดยกลุ่ม LGBT ในญี่ปุ่นเพื่อส่งเสริมการยอมรับและความเท่าเทียมกันในสังคม เป็นงานที่ทำให้มีการเปิดประเด็นและตั้งข้อสังเกตุต่างๆ เกี่ยวกับสังคมญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อต้นปีนี้เอง ได้เกิดข่าวใหญ่ในวงการเมืองเมื่อทีมงานของนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะได้กล่าววาจาดูหมิ่นชาว LGBT จนเกิดกระแสต่อต้านขึ้น และนายกรัฐมนตรีต้องยุติการทำงานของผู้ช่วยทีมงานคนดังกล่าว  และในโอกาสที่จะมีการจัดการประชุม G-7 ครั้งที่ 49 ที่เมืองฮิโรชิมาในเดือนพฤษภาคมนี้ ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของชาว LGBT ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในเวทีระหว่างประเทศ เกิดเป็นกระแสผลักดันจากภายนอกประเทศที่ขับเคลื่อนให้รัฐบาลของนายคิชิดะต้องพิจารณาเรื่องสิทธิตามกฎหมายของชาว LGBT กันอย่างจริงจัง

ประเด็นเกี่ยวเนื่องกับชาว LGBT เป็นเรื่องของความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิและสถานะทางกฎหมายตลอดไปจนถึงสถานะทางสังคมของ LGBT ในญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ในประเทศญี่ปุ่น LGBT ไม่ใช่สิ่งที่ต้องห้าม ได้รับการยอมรับตามรัฐธรรมนูญ และการใช้ชีวิตในฐานะ LGBT ไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมาย กล่าวคือ ตามรัฐธรรมนูญ ทุกคนได้รับการรับประกันสิทธิมนุษยชน ห้ามการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ เพศ สถานะทางสังคม และกำเนิดของครอบครัว ตลอดจนมีแผนงานด้านความเท่าเทียมกันทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันการฆ่าตัวตาย ทั้งยังมีการจัดสรรงบประมาณเฉพาะสำหรับกิจกรรมด้านนี้ เช่น การมี LGBT hotline แต่ยังไม่มีการอนุญาติให้จดทะเบียนสมรส

เมื่อการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันตามกฎหมายทำไม่ได้ ก็ทำให้เกิดความไม่สะดวกในหลายๆกรณี ทั้งยังละเมิดสิทธิมนุษยชนในบางครั้ง ตัวอย่างเช่น ในการรับมรดกเมื่อคู่ชีวิตเสียชีวิต  และในกรณีที่คู่ชีวิตต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หากไม่มีสถานะเป็นคู่สมรสตามกฎหมาย โรงพยาบาลอาจไม่แจ้งข่าวให้ทราบเมื่อคู่ชีวิตป่วยหนักหรือเสียชีวิต หรือไม่สามารถให้ลงนามรับรองการรักษาพยาบาลในบางกรณี ยิ่งเป็นคู่ LGBT ที่ไม่เคยเปิดเผยให้ญาติได้รับรู้ ก็จะยิ่งไม่มีโอกาสจะได้รับทราบข่าวคราวของคู่ชีวิตเลย  ได้มีการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของ LGBT ในช่วงภัยพิบัติแผ่นดินไหว 311 ที่ย่าน Tohoku  และพบว่า LGBT เป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากความช่วยเหลือจากรัฐบาลไม่ได้มีแผนงานสำหรับคนกลุ่มนี้ เช่น การจัดหายาบางประเภทสำหรับ LGBT การขอใช้บริการที่พักอาศัยชั่วคราวที่ไม่อนุญาตให้คู่เพศเดียวกันพักอาศัยร่วมกันในฐานะครอบครัว และการใช้ห้องน้ำในศูนย์อพยพ ซึ่งหากการแต่งกายที่แสดงออกไม่ตรงกับเพศสภาพก็จะถูกเฝ้ามอง ถูกเพ่งเล็ง  

ภายในสังคมของญี่ปุ่น การเป็นเกย์ในทุกรูปแบบยังไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปิดเผย หรือเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป การเปิดเผยตนเองมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ได้รับการยอมรับ อาจถูกมองว่าเห็นแก่ตัว และบางครอบครัวก็ยังยอมรับไม่ได้ จะเห็นได้ว่าคนเด่นคนดังในสังคมยังไม่ออกมาเปิดตัวกันมากนัก ทั้ง ๆ ที่เพศที่สามไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นสิ่งที่สอดแทรกอยู่ในวัฒนธรรมมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ในอดีต ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายที่เป็นผู้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็กชายให้เติบโตและมีความรู้ในสายงานวิชาชีพ (Nanshuko) เป็นเรื่องปกติ แม้แต่ในวัฒนธรรมซามุไรก็จะมีวัฒนธรรมที่เด็กชายเมื่อถึงวัยอันควร มีความปรารถนาที่จะเป็นซามุไรเต็มตัว ก็จะเริ่มติดตามซามุไรที่ตนชื่นชอบ ซามุไรผู้ใหญ่ก็จะมีผู้ติดตามและต้องมีความรับผิดชอบที่จะดูแลอบรมสั่งสอนทั้งเทคนิคการต่อสู้ และมารยาทสังคมให้แก่ผู้ติดตาม (Wakashu) วิถีของผู้ติดตามดังกล่าวก็จะต้องมีวัฒนธรรมของตน กล่าวคือเริ่มต้นเมื่อจะเข้าสู่ความเป็นวัยรุ่น ในทางกายภาพร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ ต้องแสดงตัวไม่ใช่ทั้งชายและหญิง โดยมีการแต่งตัวทรงผมที่คล้ายผู้ชายคือโกนศีรษะครึ่งทางแต่ใส่เสื้อผ้าคล้ายผู้หญิง เมื่อผู้ติดตามเรียนรู้จนถึงช่วงอายุหนึ่งประมาณ 18 ปี มีความพร้อมที่จะเป็นซามุไรเต็มตัว ก็จะเป็นอิสระออกไป แล้วซามุไรผู้ใหญ่ก็สามารถจะมี wakashu คนใหม่ เมื่อพิจารณาถึงวัฒนธรรมซามุไรที่มีพื้นฐานมาจากคำสอนของพุทธ ทั้ง nanshuko และ wakashu จึงมีความสืบเนื่องกัน และทั้งสองแบบมีหมายความถึงการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างชายกับชาย

วัฒนธรรม wakashu ยังมีอิทธิพลต่อการละเล่นที่เรียกว่า kabuki ในเวลาต่อมา ละครคาบูกิเริ่มจากวัฒนธรรมของพ่อค้า โดยที่อำนาจของความร่ำรวยทำให้กลุ่มพ่อค้าเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลขึ้นมา แข่งรัศมีกับซามุไรซึ่งถูกลดทอนอิทธิพลทางเศรษฐกิจลงไปจากนโยบายของโชกุนที่ต้องมีการเดินทางเข้าไปเอโดะปีเว้นปี การละเล่นบันเทิงของพ่อค้าเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ต่อมาเมื่อมีการห้ามใช้ผู้แสดงเป็นหญิงในศตวรรษที่ 17 จึงมีการใช้เด็กชายเป็นผู้แสดง และเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงหนึ่ง โดยประยุกต์วัฒนธรรม wakashu ของซามุไรเข้ามาสู่วงการคาบุกิ  ในเวลาต่อมาเด็กชายเหล่านี้ก็เข้าสู่วงการขายบริการทางเพศด้วย

กล่าวกันว่า ทัศนคติที่รังเกียจความรักของเพศเดียวกันเกิดขึ้นเมื่อสังคมญี่ปุ่นพยายามก้าวตามความทันสมัยในแบบของตะวันตก อิทธิพลของความเชื่อแบบคริสเตียนที่เข้ามาในปลายศตวรรษที่19 ทำให้สังคมญี่ปุ่นมองว่าความรักของเพศเดียวกันเป็นบาป

ในขณะที่การแก้ปัญหาในระดับชาติยังไม่สามารถขับเคลื่อนให้ผ่านพ้นไปได้  ชาว LGBT ได้พยายามรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนกันและกัน เช่น ในปี 1971 มีการตั้งกลุ่มชาวเลสเบียนขึ้นในกรุงโตเกียว เรียกชื่อว่า Young Grass Club[1] ต่อมาในปี 1998 การผ่าตัดแปลงเพศได้รับการรับรองตามกฎหมาย   ในระดับส่วนตัว LGBT ได้มีการพยายามแก้ปัญหาด้วยตนเอง เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ตามกฎหมายและได้รับสิทธิในฐานะครอบครัวตามกฎหมาย ด้วยการให้คู่ LGBT จดทะเบียนเป็นพ่อ-ลูกกัน  ส่วนในระดับรัฐบาลท้องถิ่นได้มีความพยายามที่จะช่วยเหลือชาว LGBT เริ่มตั้งแต่ปี 2013 เขตโยโดกาวะ ในเมืองโอซาก้าประกาศเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับ LGBT ต่อมาในปี 2015 เมืองนาฮาในโอกินาวาก็ประกาศเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับ LGBT ต่อมาในปี 2020 รัฐบาลท้องถิ่นใน 38 เมือง และเพิ่มขึ้นอีก 73 เมืองในปี 2021[2] ได้ริเริ่มมาตรการที่รับรองคู่แต่งงานเพศเดียวกัน รวมทั้งในเดือนพฤศจิกายน 2022 กรุงโตเกียวได้อนุญาตให้คู่เพศเดียวกันสามารถลงทะเบียน และได้รับใบรับรองเพื่อให้สามารถได้รับสิทธิบางอย่างที่เคยจำกัดเฉพาะคู่สมรสต่างเพศ จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2023 ได้มีการลงทะเบียนในลักษณะนี้แล้วถึง 500 คู่ สิ่งนี้เป็นสัญญานว่า ในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นเริ่มเปิดใจยอมรับ LGBT กันมากขึ้น ในปี 2018 บริษัท Dentsu ได้สำรวจความคิดเห็นของชาวญี่ปุ่นต่อ LGBT และพบว่าร้อยละ 78.4 ของคนช่วงอายุ 20-50 ปียอมรับให้คู่เพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้

แต่การปรับแก้กฎระเบียบต่างๆ ในระดับรัฐบาลท้องถิ่นก็ยังไม่สามารถช่วยเปิดโลกของ LGBT ให้มีเสรีภาพได้ดังเช่นในประเทศพัฒนาแล้วที่ประเด็นสิทธิมนุษยชนได้รับการยอมรับกันทั่วไป ดังได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ประเทศญี่ปุ่นยังไม่ยอมรับการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันตามกฎหมาย ทั้งนี้อาจเกิดจากความกังวลของฝ่ายอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา ในปี 2016 พรรคฝ่ายค้านได้เคยเสนอร่างพรบ.เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติต่อ LGBT แต่ภายในพรรค LDP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลกลับมีกระแสต่อต้านพรบ.ดังกล่าว อดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะยังเคยกล่าวว่า เรื่องการอนุญาตให้มีการแต่งงานของเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวังมาก แม้แต่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก็มีทัศนคติเช่นเดียวกัน ฝ่ายอนุรักษ์นิยมค่อนข้างกังวลว่า หากให้มีการรับรองการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันอาจทำให้ค่านิยมเกี่ยวกับครอบครัวต้องผิดเพี้ยนไป  และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ จึงได้เคยมีคู่เพศเดียวกันทำการร้องต่อศาลว่าการห้ามการสมรสระหว่างเพศเดียวกันก่อให้เกิดความเสียหาย ศาลได้ตัดสินว่า การห้ามการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่สอดคล้องต่อรัฐธรรมนูญ แต่การขาดกรอบทางกฎหมายที่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ริดรอนสิทธิของประชาชน[3]

ป้ายสนับสนุนสิทธิการสมรสเพศเดียวกัน ในงาน Tokyo Rainbow Pride

.

เมื่อจะมีการจัดประชุม G-7 ในปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ได้มีการเปรียบเทียบสังคมญี่ปุ่นกับกลุ่มประเทศ G-7 และสรุปว่าในสังคมของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวที่ยังไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันตามกฎหมาย  ประเด็นนี้ถูกนำมากล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำอีกในสื่อต่างๆ จนทำให้เกิดความเข้าใจว่า แรงผลักดันที่ญี่ปุ่นจะก้าวเข้าไปได้รับการยอมรับในเวทีผู้นำระหว่างประเทศ เป็นเหตุผลหลักของการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย มากกว่าจะพุ่งเป้าหมายไปที่การช่วยเหลือกลุ่ม LGBT ให้ได้รับความเป็นธรรม  ตัวอย่างของแรงผลักดันจากต่างประเทศนี้ มีปรากฎให้เห็นเช่นกันในช่วงของการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโตเกียวในปี 2021 ซึ่งประเด็น LGBT ก็ได้รับความสนใจเป็นระลอกใหญ่มาแล้ว ทั้งสองเหตุการณ์ในช่วง 3 ปีนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสังคมญี่ปุ่นที่ชาวเอเชียชื่นชมในความสำเร็จในทางเทคโนโลยีอย่างสูงนี้ ยังคงดิ้นรนที่จะได้รับการยอมรับว่าทัดเทียมกับประเทศชั้นนำของโลก และความปรารถนานี้เป็นแรงขับเคลื่อนที่มีพลังสำหรับสังคมญี่ปุ่น  แต่ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นเอกลักษณ์อีกด้านหนึ่งของญี่ปุ่นว่า ความเหนียวแน่น ความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นคุณธรรมที่เข้มข้นมาก จนทำให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆของสังคมเกิดขึ้นได้ยาก

ประเด็นสิทธิและความเท่าเทียมกันของกลุ่ม LGBT  ทำให้เราได้เห็นอิทธิพลของตะวันตกต่อสังคมญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ในสมัยที่ประเทศตะวันตกขยายอิทธิพลเข้าสู่เอเชีย  ญี่ปุ่นถูกบังคับให้ทำสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกมองว่าต่ำต้อยกว่าชาติตะวันตก ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าสังคมญี่ปุ่นมีความทันสมัยไม่แพ้ตะวันตก สังคมญี่ปุ่นยอมรับวัฒนธรรมจากตะวันตกเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมจากการยอมรับความรักระหว่างเพศเดียวกันเป็นความรังเกียจและถือว่าผิดบาป  มาจนถึงในปัจจุบัน เหล่าประเทศผู้นำของโลกให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมกันทางเพศ ญี่ปุ่นก็ต้องแสดงตนว่ามีทัศนคติที่ทันสมัยทัดเทียมกับสังคมของกลุ่มประเทศผู้นำ  อิทธิพลจากต่างประเทศจึงกลายเป็นข้อเรียกร้องที่มีพลังในการผลักดันให้มีการพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบต่างๆเกี่ยวกับ LGBT อย่างจริงจังกันอีกครั้งหนึ่ง


[1] Ritsumeikan Asia Pacific University. “Pride in Japan : The history of the LGBTQ+Community” https://admissions.apu.ac.jp/blog/news/?page=164&type=

[2] Vindu Mai Chotani and Olivier Ammour-Mayeur, “The Politics of Sexual Minorities in Japan” in The Diplomat Available March 15, 2023 from www.thediplomat.com/2023/03/the-politics-of-sexual-minorities-in-japan/

[3] Isabel Reynolds. “Why Japan Is Considering a Move Toward LGBTQ Rights,” Bloomberg. Available March 6, 2023 from www.washingtonpost.com/business/why-japan-is-considering-a-mve-toward-lgbtq-rights/2023/03/02/


เอกสารอ้างอิง :

1.Diletta Fabiani. “History of Same-Sex Samurai Love in Edo Japan,” All about Japan.[May 1, 2017]  Accessed May 2, 2023 from https://allabout-japan.com/en/article/5187/

2.Ritsumeikan Asia Pacific University. “Pride in Japan : The history of the LGBTQ+ community,” Accessed from https://admissions.apu.ac.jp/blog/news/?page=164&type=

3. Isabel Reynolds. “Why Japan Is Considering a Move Toward LGBTQ Rights,” The Washington Post. [March 6, 2023] Accessed May 2, 2023 from www.washingtonpost.com/business/why-japan-is-considering-a-mve-toward-lgbtq-rights/2023/03/02/

4. Vindu Mai Chotani and Olivier Ammour-Mayeur, “The Politics of Sexual Minorities in Japan,” The Diplomat [March 15, 2023] Accessed May 2,2023 from www.thediplomat.com/2023/03/the-politics-of-sexual-minorities-in-japan/

5. “What is it like being LGBT in Japan?” Izanau [April 29,2020] Accessed May 2, 2023 from izanau.com/article/view/lgbt-japan


บทความล่าสุด

วัฒนธรรม (ที่ไม่ชัดเจน) ว่าด้วยเงินบริจาคของพรรคการเมืองญี่ปุ่น
วัฒนธรรม (ที่ไม่ชัดเจน) ว่าด้วยเงินบริจาคของพรรคการเมืองญี่ปุ่น

โดย ดร.ทรายแก้ว ทิพากร                                                                                         พรรคการเมืองของทุกประเทศมีความจำเป็นต้องมีเงินทุนเพื่อให้สามารถเล่นบทบาททางการเมืองของตน แต่บทบาทของเงินทุนทางการเมืองเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อการเมืองมากที่สุด ทุ

ดร.ทรายแก้ว ทิพากร
2567
กระแสเอเชีย
ถอดบทเรียนจากแผ่นดินไหวใหญ่คันโต (ตอนที่ 2): บทเรียนที่ได้และมาตรการรับมือ
ถอดบทเรียนจากแผ่นดินไหวใหญ่คันโต (ตอนที่ 2): บทเรียนที่ได้และมาตรการรับมือ

บทความนี้เป็นบทแปลการบรรยายของ Prof. Dr. Suzuki Jun จาก Faculty of Letters University of Tokyo ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์สมัยใหม่และภัยพิบัติญี่ปุ่น ในงานสัมมนาแบบไฮบริด เรื่อง “การเมือง-วัฒนธรรมในภัยพิบัติ: 1 ศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต” ณ ห้องประชุม Social Innovation Hub อาคารวิศิษฐ์ - ประจวบเห

ดร.กฤตพล วิภาวีกุล
2567
กระแสเอเชีย
ถอดบทเรียนจากแผ่นดินไหวใหญ่คันโต (ตอนที่ 1): ภาพรวมความเสียหาย
ถอดบทเรียนจากแผ่นดินไหวใหญ่คันโต (ตอนที่ 1): ภาพรวมความเสียหาย

บทความนี้เป็นบทแปลการบรรยายของ Prof. Dr. Suzuki Jun จาก Faculty of Letters University of Tokyo ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์สมัยใหม่และภัยพิบัติญี่ปุ่น ในงานสัมมนาแบบไฮบริด เรื่อง “การเมือง-วัฒนธรรมในภัยพิบัติ: 1 ศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต” ณ ห้องประชุม Social Innovation Hub อาคารวิศิษฐ์ - ประจวบเหม

ดร.กฤตพล วิภาวีกุล
2566
กระแสเอเชีย
การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ : หนึ่งศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต
การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ : หนึ่งศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต

โดย ทรายแก้ว ทิพากร ภาพประกอบจากเว็บไซต์ https://tanken.com/shinsai.html . ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกที่ยังมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งหากเกิดขึ้นในทะเลก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ และหากแผ่นดินไหวม

ดร.ทรายแก้ว ทิพากร
2566
กระแสเอเชีย
การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ : ย้อนรอย 100 ปีของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต ค.ศ. 1923 (ตอนที่ 1)
การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ : ย้อนรอย 100 ปีของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต ค.ศ. 1923 (ตอนที่ 1)

โดย ดร. กฤตพล วิภาวีกุล ภาพที่ 1 : ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนในย่านคันดะหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต (ที่มา The Great Kanto Earthquake.com) . การศึกษาเกี่ยวกับภัยพิบัติในประเทศไทยส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับการจัดการภัยพิบัติ ทั้งการเฝ้าระวัง การเตรียมแผนรับมือและการตอบสนองของรั

ดร.กฤตพล วิภาวีกุล
2566
กระแสเอเชีย

ที่ตั้งสถาบัน (ศูนย์ญี่ปุ่น-อาเชียนศึกษา)

สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Institute of Asian Studies Chulalongkorn University)

อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ชั้น 7 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

02-218-7464

02-255-1124