โดย ทรายแก้ว ทิพากร
ภาพประกอบจากเว็บไซต์ https://tanken.com/shinsai.html
.
ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกที่ยังมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งหากเกิดขึ้นในทะเลก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ และหากแผ่นดินไหวมีความรุนแรงมาก ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นวงกว้าง เราเรียกเหตุการณ์นั้นว่าเป็นภัยพิบัติ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่นได้ผ่านภัยพิบัติอย่างรุนแรงมาแล้ว 3 ครั้ง ได้แก่
- ครั้งที่ 1 วันที่ 1 กันยายน 1923
แผ่นดินไหวที่ย่านคันโต ขนาดความรุนแรง 7.9
ริคเตอร์ มีผู้เสียชีวิตราว 105,000 คน
ส่วนใหญ่เกิดจากไฟไหม้
- ครั้งที่ 2 วันที่ 17 มกราคม 1995 แผ่นดินไหวในย่านฮันชิน-อาวาจิ ขนาดความรุนแรง 7.3
ริคเตอร์ มีผู้เสียชีวิตราว 5,500 คน
ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดอากาศหายใจและสิ่งปลูกสร้างถล่ม
- ครั้งที่ 3 วันที่ 11 มีนาคม 2011 แผ่นดินไหวทางภาคตะวันออกของญี่ปุ่น ความรุนแรง 9
ริคเตอร์ มีผู้เสียชีวิตราว 18,000 ส่วนใหญ่เกิดจากการจมน้ำ
เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติในแต่ละครั้ง
จะมีการศึกษาผลกระทบจากภัยพิบัติเพื่อหาทางป้องกันไม่ให้ปรากฎการณ์ธรรมชาติสร้างความเสียหายต่อชีวิตของผู้คนมากเกินไป
ตลอดจนศึกษาวิธีการจัดการในการรับมือกับผลกระทบจากภัยพิบัติ
เพื่อหาทางปรับปรุงวิธีการบรรเทาทุกข์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในส่วนที่ยังมีการศึกษากันน้อยคือผลกระทบทางสังคมจากภัยพิบัติ เนื่องจากอาจต้องรอเวลายาวนาน
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไปแล้ว จึงจะสามารถเห็นผลกระทบทางสังคมได้อย่างชัดเจน
ในโอกาสของการครบรอบ 100
ปีของเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวใหญ่ในย่านคันโตของญี่ปุ่น ศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษาได้จัดการสัมมนาเรื่อง การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ : หนึ่งศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต เมื่อวันที่ 23
สิงหาคม
เราสามารถสรุปผลจากการสัมมนาได้ดังนี้
ในปี 1923 แผ่นดินไหวในบริเวณใกล้กรุงโตเกียว
ในช่วงนั้นสังคมญี่ปุ่นได้ผ่านการปฏิรูปตามแบบตะวันตก เปลี่ยนผ่านจากยุคเมจิ (1868-1912)
เข้าสู่ยุคของพระจักรพรรดิไทโช (1912-1925) จากสังคมเกษตรไปสู่สังคมอุตสาหกรรม
ประเทศญี่ปุ่นก้าวขึ้นสู่การได้รับการยอมรับว่าอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศตะวันตก
ญี่ปุ่นได้เข้าไปรุกรานประเทศเกาหลี และยึดครองบางส่วนของจีนและรัสเซีย
อีกทั้งยังได้เกณฑ์แรงงานจากเกาหลีเข้ามาทำงานในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบของแรงงาน
นักศึกษา และผู้ฝึกงานในรูปแบบต่างๆ
บทเรียนที่เกิดจากแผ่นดินไหวสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วน
ในส่วนแรกเป็นเรื่องความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติและความเสียหายที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ส่วนที่สองเป็นการสะท้อนภาพทัศนคติของชาวญี่ปุ่นต่อแผ่นดินไหวครั้งนี้และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นภายหลังเหตุแผ่นดินไหว
ในส่วนแรก
ความเสียหายพื้นฐานจากปรากฏการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากแรงสั่นสะเทือนซึ่งกินเวลานานถึง
8 นาที เกิดคลื่นสึนามิ แผ่นดินถล่ม และไฟไหม้ เนื่องจากแผ่นดินไหวเกิดในช่วงเที่ยงวัน
เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังมีการจุดไฟเพื่อหุงหาอาหารกัน เมื่อสิ่งปลูกสร้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ถล่มลงมาจึงเป็นเชื้อเพลิงให้ไฟลุกลามโดยง่าย ทั้งยังมีสารเคมีของโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัยซึ่งไหลออกมาเมื่อสิ่งปลูกสร้างถล่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งย่านที่มีไฟไหม้ลุกลามอย่างกว้างขวางเป็นย่านที่มีบ้านเรือนหนาแน่น
โดยเหตุไฟไหม้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 3
วันกว่าจะสามารถควบคุมเพลิงได้ คิดเป็นพื้นที่ถูกเพลิงไหม้ 34.7 ตร.กม. ได้มีการศึกษาบทเรียนจากเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้
ทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนที่มักขนย้ายสมบัติข้าวของออกจากบ้านเพื่อหนีไฟ
พฤติกรรมนี้ทำให้ถนนหนทางเต็มไปด้วยข้าวของ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสัญจร
ท่ามกลางความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ
ยังมีความเสียหายที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ เกิดข่าวลือว่ามีการวางเพลิงและการระเบิดในจุดต่างๆเป็นฝีมือของชาวเกาหลี
ทั้งยังวางยาพิษในบ่อน้ำทำให้คนจำนวนมากไม่กล้าดื่มน้ำ
ชาวเกาหลียังก่อการจลาจลให้เกิดความวุ่นวายต่างๆนานา
ความลือนี้ทำให้เกิดการประทุษร้ายต่อชาวเกาหลี มีกลุ่มคนออกมาตั้งศาลเตี้ย ตรวจจับ
ทำร้าย และสังหารคนที่ดูคล้ายชาวเกาหลี ทั้งๆที่เหยื่อบางคนก็เป็นชาวญี่ปุ่น ข่าวลือเหล่านี้ยังก่อความสับสนต่อเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาในพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือและรักษาความปลอดภัย
กว่าเจ้าหน้าที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน
แม้ต่อมาจะมีการจับกุมดำเนินคดีต่อผู้ที่ทำผิด
แต่เชื่อกันว่าจำนวนเหยื่อทั้งชาวเกาหลี จีน และญี่ปุ่นมีจำนวนทั้งหมดกว่า 1,000 คน จากเหตุการณ์นี้ ในเวลาต่อมานำไปสู่ความระมัดระวังในการเผยแพร่ข่าว
และตรวจสอบข่าวลือให้ชัดเจนก่อนที่จะเผยแพร่ออกไป
บทเรียนจากความเสียหายในครั้งนี้ทำให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติของภัยพิบัติ
แม้ว่าไฟไหม้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญในการดับเพลิง
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้อันเนื่องจากแผ่นดินไหวนี้
การจัดการดับเพลิงแบบสมัยใหม่ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงต้องเผชิญกับความท้าทายที่ควรได้รับการถอดบทเรียน
ทั้งในส่วนของการจัดการกับอุปกรณ์ การวางระบบส่งน้ำเพื่อดับเพลิง
การจัดการพนักงานดับเพลิง การจัดการเรื่องการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ
ลักษณะของอาคารบ้านเรือนที่อยู่กันอย่างหนาแน่น ทำด้วยวัสดุที่ติดไฟง่าย
และพฤติกรรมของมนุษย์ในช่วงที่มีเหตุเพลิงไหม้ เช่น
การขนข้าวของออกมาวางไว้ในพื้นที่สาธารณะ ตลอดจนอคติที่อาจนำไปสู่การแพร่กระจายข่าวลือ
ในส่วนที่สอง
ดังได้เกริ่นไว้ในตอนต้นว่าในทศวรรษ 1920 เมื่อเกิดปรากฏการณ์แผ่นดินไหวนั้น
ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม
เพื่อให้พ้นจากการถูกยึดครองอย่างสมบูรณ์โดยประเทศตะวันตกที่เข้ามารุกราน
ยึดเอาเมืองต่างๆเป็นอาณานิคม และแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและแรงงาน
ญี่ปุ่นได้พัฒนาตนเองตามแบบประเทศมหาอำนาจตะวันตกเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
และญี่ปุ่นก็ประสบความสำเร็จในการพัฒนา
ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง
แต่ความทะเยอทะยานของญี่ปุ่นที่จะขยายอิทธิพลออกไปนอกเกาะญี่ปุ่น
สร้างความกังวลให้แก่สหรัฐอเมริกาซึ่งกำลังต้องการขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคนี้เช่นกัน
สหรัฐฯมองจีนเป็นตลาดสำหรับสินค้าของตน
และต้องการให้ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ตนเองจะสามารถเข้ามาแชร์ผลประโยชน์กับทุกฝ่ายได้อย่างราบรื่น
จึงยินดีที่จะประสานประโยชน์กับญี่ปุ่นที่กำลังมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้เช่นกัน
ส่วนประเทศฝรั่งเศสได้สานสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่น
เพื่อต้องการร่วมมือกันในการปราบปรามกระแสต่อต้านอาณานิคมในดินแดนเมืองขึ้น
เช่นในเวียดนาม และในเกาหลี
กิจกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับญี่ปุ่นในฐานะที่เป็นประเทศที่ทัดเทียมกับเจ้าอาณานิคมตะวันตก
ในส่วนภายในประเทศ
การพัฒนาตนเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสังคมโลก
ทำให้สังคมญี่ปุ่นเปลี่ยนจากสังคมอนุรักษ์นิยมที่ธำรงรักษาวัฒนธรรมประเพณี
วิถีชีวิต และค่านิยมเดิมๆ ไปสู่วิถีชีวิตและค่านิยมแบบตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างความอึดอัดให้แก่กลุ่มคนที่ต้องการธำรงรักษาวิถีชีวิตแบบเดิม
เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางเช่นนี้
จึงเกิดกระแสความเชื่อเผยแพร่กันออกไปว่า นี่คือการลงทัณฑ์จากพระเจ้า ซึ่ง ณ
ช่วงเวลานั้นไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะสามารถดึงสังคมญี่ปุ่นให้หันกลับไปหาระบบคุณค่าแบบเดิมๆ
และเปิดโอกาสให้กลุ่มอำนาจนิยมใช้เป็นข้ออ้างในการขับเคลื่อนประเทศไปได้ถึงขนาดนั้น
ก่อนเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวในปี
1923
สังคมญี่ปุ่นกำลังเฟื่องฟูไปตามกระแสแนวคิดเสรีนิยม การปกครองแบบประชาธิปไตย ชาวญี่ปุ่นมีวิถีชีวิตที่หลงระเริงไปกับสิทธิเสรีภาพ
เช่น เรียกร้องสิทธิสตรี สิทธิของแรงงาน ผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจในระบบอุตสาหกรรมนำไปสู่วิถีชีวิตแบบวัตถุนิยม
ปัจเจกชนนิยม มีศีลธรรมที่เสื่อมโทรม เช่น เกิดสถานบันเทิงในหลากหลายรูปแบบ
มีการบริโภคและแต่งกายแบบตะวันตก ดังนั้นหลังจากเหตุแผ่นดินไหว
บรรดานักคิดคนสำคัญๆพากันกล่าวว่า
ญี่ปุ่นถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากความมัวเมาลุ่มหลงในวัตถุนิยม ความพังพินาศของกรุงโตเกียวเป็นโอกาสของการสร้างเมืองหลวงในอุดมคติขึ้นใหม่
ทั้งยังเป็นโอกาสของการฟื้นฟูจิตวิญญาณและศีลธรรมของญี่ปุ่น
การฟื้นฟูจิตวิญญาณและศีลธรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและนำโดยรัฐบาล
กล่าวคือรัฐบาลเป็นผู้กำหนดกรอบด้วยการประกาศพระราชกำหนดว่าด้วยการปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งชาติ
(Imperial Rescript on the Cultivation of
National Spirit, 1923) ซึ่งสอดคล้องกับพระราชกำหนดว่าด้วยการศึกษา
(Imperial Rescript on Education)
ซึ่งได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ในปี 1890 หรือสมัยพระจักรพรรดิเมจิ
แนวทางของการฟื้นฟูจิตวิญญาณและศีลธรรมมีแนวคิดของลัทธิชินโตเป็นพื้นฐาน
ทำให้พระจักรพรรดิถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง มาตรการดังกล่าวเน้นความจงรักภักดีและอุทิศตน
เสียสละเพื่อส่วนรวม เคร่งครัดในระเบียบวินัยและคุณธรรม ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย
เป็นต้น มีการปลูกฝังค่านิยมเหล่านี้ลงไปถึงระดับรากหญ้า และส่งถึงเยาวชนตั้งแต่ยังเด็กๆผ่านทางระบบโรงเรียน จึงอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวใหญ่ในปี
1923 ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ยังส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง
ทั้งยังเปิดคำถามให้เราเฝ้าดูต่อไปว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติ 311 ที่ย่านโทโฮกุ เมื่อปี 2011 จะทำให้สังคมญี่ปุ่นเปลี่ยนไปอีกเพียงใด
เมื่อย้อนกลับมาดูกรณีของประเทศไทย
ภัยพิบัติในเมืองไทยส่วนใหญ่เกิดจากน้ำท่วม ดินถล่ม และพายุ
ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมักเป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงวัย และผู้มีรายได้น้อย
ซึ่งมีความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติได้น้อยกว่าบุคคลทั่วไป
การศึกษาเกี่ยวกับภัยพิบัติในเมืองไทยได้ข้อสรุปว่า
สังคมไทยยังขาดการจัดการองค์ความรู้ในการรับมือกับภัยพิบัติ
ซึ่งอาจเกิดเนื่องจากการขาดความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติ
และขาดความสำนึกในการเตรียมความพร้อม ทำให้บทเรียนเกี่ยวกับการจัดการในช่วงภัยพิบัติได้รับการสื่อสารออกไปเป็นช่วงๆเท่านั้น
การเตรียมความพร้อมมีขึ้นเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มเปราะบาง
และไม่มีการเชื่อมโยงการจัดการกับภัยพิบัติระหว่างระดับนโยบาย ท้องถิ่น และชุมชน
บทเรียนที่ได้จากการศึกษาแผ่นดินไหวหรือภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต
ไม่ใช่เพียงเพื่อการรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีก
หรือเพื่อพัฒนาการจัดการบรรเทาสาธารณภัยที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต
แต่การเข้าใจการเมืองและวัฒนธรรมของสังคมในขณะนั้นอาจช่วยให้การจัดการรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อ้างอิง :
- กฤตพล
วิภาวีกุล. (2023, สิงหาคม 23). การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ :
1 ศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต. สัมมนาจัดโดยศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพ.
- สุทธิรัตน์
กิตติพงษ์วิเศษ. (2023, สิงหาคม 23). การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ : 1 ศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต.
สัมมนาจัดโดยศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพ.
- Alexandre Barthel. (2023,
สิงหาคม 23). การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ :
1 ศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต. สัมมนาจัดโดยศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพ.
- Jun Suzuki. (2023, สิงหาคม 23). การเมืองวัฒนธรรมในภัยพิบัติ :
1 ศตวรรษแผ่นดินไหวใหญ่คันโต. สัมมนาจัดโดยศูนย์ญี่ปุ่น-อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพ.