สื่อสิ่งพิมพ์

หน้าแรก / สื่อสิ่งพิมพ์

“มาสคอต” คาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่น (ตอนที่ 2 : มาสคอตกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม)

โดย กฤษบดินทร์ วงค์คำ


(ตอนที่ 2 : มาสคอตกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม)

คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการพยายามที่จะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจไทย 4.0 โดยมีมาตรการส่งเสริมทั้งจากภาครัฐและเอกชนให้เกิดการสร้างระบบเศรษฐกิจกระแสใหม่ (New Economy) ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ โดยนำจุดแข็งของประเทศ อย่างทุนทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรธรรมชาติ มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างขีดความสามารถให้กับระบบเศรษฐกิจผ่านการสรรค์สร้างนวัตกรรมจากต้นทุนดังกล่าว[1] 

            เป้าหมายหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกระแสใหม่ที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นและระยะยาว คือการส่งเสริมเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม (Creative and Cultural Economy) เนื่องจากประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีทุนทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีศักยภาพและคุณค่าในตัวเอง สามารถนำมาสร้างเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จำนวนมาก ดังนั้น การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมโดยการเน้นสร้างนวัตกรรมจากทุนทางวัฒนธรรม และการใช้ความคิดสร้างสรรค์จึงถือเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจกระแสใหม่ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย พบว่านับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมามูลค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยมีอัตราการเจริญเติบโตแบบทบต้นโดยเฉลี่ย (Compound Average Growth Rate) อยู่ที่ร้อยละ 5.61 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตแบบทบต้นโดยเฉลี่ยของสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่มีการเติบโตเพียงร้อยละ 5.24 โดยเฉพาะในปี 2017 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมดักล่าวมากถึง 1.4 ล้านล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 9.09 ของ GDP โดยที่พบว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมีมูลค่ามากที่สุดถึงร้อยละ 25.77 จึงเป็นที่น่าคิดว่าหากประเทศไทยได้มีการลงทุนในภาคเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะในส่วนของการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก็อาจเป็นการเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวต่อไปได้อีกมาก[2]

https://web.tcdc.or.th/media/files/images/Sep%202018/Sep%20Cover%202018/graph1.jpg
ที่มาภาพ : https://web.tcdc.or.th/th/Articles/Detail/CreativeEconomyinAction

ขณะเดียวกัน เมื่อหันมามองอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศแล้วกลับพบว่าเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการท่องเที่ยวในช่องทางต่างๆ ได้กลับเข้าไปพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทำให้หากพิจารณาถึงโครงสร้างการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของไทยในปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่ายังคงขาดการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพอยู่ไม่น้อย ทั้งในเรื่องของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาคนในพื้นที่ การขาดระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพที่จะอำนวยให้เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึงตลอดจนไม่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนอย่างยั่งยืน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายๆ แห่งทั่วประเทศที่ยังคงขาดโอกาสและกลยุทธ์ในการสร้างแรงกระตุ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอีกด้วย

            ดังนั้น แนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของไทยอย่างยั่งยืนจึงจำเป็นต้องอาศัยการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงบูรณาการร่วมกับการพัฒนาในภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวซึ่งต้องพัฒนาร่วมไปกับการสร้างเสริมองค์ความรู้ให้กับคนในพื้นที่ รวมไปถึงการสร้างบรรยายกาศที่เอื้อให้เกิดการท่องเที่ยวด้วย นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการวางแผนและการหาแนวทางการส่งเสริมให้ตรงจุดโดยให้ยึดโยงการพัฒนาเข้ากับการส่งเสริมเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมเพื่อสร้างเป็นนวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแนวใหม่ที่เน้นให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพแก่ท้องถิ่นและประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป

            ในการนี้ เมื่อพิจารณาถึงความสำเร็จจากการสร้างนวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแนวใหม่ที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างของกรณีศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆ ที่ให้ความสำคัญและมีความพยายามที่จะยกระดับการท่องเที่ยวท้องถิ่นของตนให้กลายเป็นนวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนและกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นร่วมไปด้วยกันได้ ความพยายามดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีโอกาสในการคิดค้นกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่พื้นที่ของตนด้วยการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมือง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวก็จะมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การนำเสนอมุมมองของอัตลักษณ์และของดีเด่นแต่ละพื้นที่ให้เป็นที่รู้จักเพื่อเน้นสร้างให้เกิดความประทับใจแรกพบจนส่งผลเป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดเป็นแรงดึงดูดในการท่องเที่ยว รวมถึงอาจนำไปสู่การเชื่อมโยงให้เกิดการเติบโตของธุรกิจท้องถิ่นแขนงต่างๆ ในพื้นและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ทำให้เกิดรายได้แก่ชุมชนและผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนส่งผลให้เกิดการขยายตัวของสินค้าวัฒนธรรมเชิงพาณิชย์สู่ตลาดต่างประเทศซึ่งถือเป็นการสร้างรายได้กลับเข้าประเทศได้อย่างมหาศาลต่อไป ภาพเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นและประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีในประเทศญี่ปุ่น จึงนับได้ว่าแนวทางดังกล่าวถือเป็นกลยุทธ์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

            อย่างไรก็ตาม หนึ่งในกลยุทธ์ที่มีความสำคัญมากและทำให้แนวคิดที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นของญี่ปุ่นสามารถประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีทั้งในระดับชาติและนานาชาติ นั่นคือการสร้าง “มาสคอตประจำเมือง” ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกที่มีประสิทธิภาพต่อการกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในท้องถิ่นได้เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นและเป็นมิตรของคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนที่เป็นมาสคอตประจำเมืองช่วยเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงความเป็นท้องถิ่นกับผู้คนให้สามารถมีปฏิสัมพันธ์ถึงกันได้อย่างน่าสนใจ ทำให้นัยสำคัญของมาสคอตประจำเมืองคือการประชาสัมพันธ์เมืองผ่านตัวแทนเมืองที่เป็นคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนที่มีลักษณะเด่นในตัวที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของเมืองประกอบอยู่ด้วยอย่างกลมกลืนเพื่อที่มาสคอตจะสามารถสื่อสารให้ผู้คนทั่วไปทราบถึงจุดเด่นของเมืองผ่านจากการมองและการประชาสัมพันธ์ของมาสคอตประจำเมืองซึ่งทำให้เกิดเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้ การเกิดขึ้นของมาสคอตประจำเมือง นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กระจายตัวเป็นวงกว้างได้แล้วนั้นยังสร้างให้เกิดความสำนึกรักท้องถิ่นและความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่นของผู้คนในพื้นที่อีกด้วย กล่าวได้ว่าการสร้างมาสคอตประจำเมืองถือเป็นนวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแนวใหม่อย่างหนึ่งที่สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศญี่ปุ่นได้อย่างงดงาม

            โดยเฉพาะในช่วงปี 2010-2015 ถือได้ว่าเป็นยุคทองของการสร้างมาสคอตประจำเมืองในญี่ปุ่นก็ว่าได้ โดยเห็นได้จากในท้องถิ่นและหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่นได้มีการสร้างมาสคอตของตนในอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่ชื่นชอบและหันมาท่องเที่ยวตามรอยมาสคอตที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ประกอบกับการจัดให้มีการประกวดมาสคอตแห่งชาติขึ้นอย่างเป็นทางการที่เรียกว่า “ยูรุเคียระกรังด์ปรีซ์” (Yuru Kyara Guranpuri) หรือ “Yuru-chara Grand Prix” ซึ่งเป็นการประกวดมาสคอตระดับชาติที่ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2010 โดยถือเป็นการประกวดที่มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในตัดสินผลการประกวดอย่างยุติธรรมด้วยการเปิดให้ประชาชนลงคะแนนเลือกมาสคอตที่ตนชื่นชอบอย่างอิสระเพื่อหาผู้ชนะเลิศในระดับประเทศ ซึ่งในปี 2011 มาสคอตหมีคุมะมงของจังหวัดคุมาโมโต้ก็ชนะเลิศและได้สร้างปรากฏการณ์ความโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่นและทั่วโลกได้สำเร็จ[3] สร้างเม็ดเงินอันได้จากนักท่องเที่ยวผ่านการประชาสัมพันธ์ของคุมะมงให้กับจังหวัดคุมาโมโต้และประเทศญี่ปุ่นจำนวนมหาศาล หลังจากนั้นการประกวดยูรุเคียระกรังด์ปรีซ์จึงกลายเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ที่สามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวระดับชาติของญี่ปุ่นที่ทำให้หน่วยงานท้องถิ่นและองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศตื่นตัวหันมาสร้างมาสคอตของตนกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้การประกวดมาสคอต ในปี 2015 มีมาสคอตที่เข้าร่วมการประกวดจำนวนมากถึง 1,727 ตัว[4]

Image for post
ที่มาภาพ : https://medium.com/@tokyoesque/billion-dollar-mascots-japans-cute-unlikely-business-accelerators-9731976e9e84

          

            ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลญี่ปุ่นและภาคส่วนต่างๆ รวมถึงประชาชนได้หันมาให้ความสำคัญกับการนำสิ่งที่มีอยู่แล้วจากทุนทางวัฒนธรรมของตนเพื่อนำไปสู่การยกระดับให้เกิดผลลัพธ์อย่างจริงจัง ในขณะที่เมื่อหันมามองในส่วนของประเทศไทยพบว่าแม้ทางภาครัฐและเอกชนจะมีความพยายามในการส่งเสริมให้เกิดการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นในหลายด้านๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมสินค้าโอทอปท้องถิ่น การเกิดขึ้นของถนนคนเดินหรือถนนสายวัฒนธรรมประจำจังหวัด รวมถึงโครงการพัฒนาและส่งเสริมย่านสร้างสรรค์ เป็นต้น หากแต่ทุกวันนี้แนวทางดังกล่าวก็ยังคงไม่สามารถสร้างให้เกิดเป็นภาพลักษณ์เชิงบวกที่น่าดึงดูดเพียงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในท้องถิ่นหรือแม้แต่ในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลได้อย่างชัดเจนเท่าที่ควร

            ด้วยเหตุนี้ เราจึงตั้งข้อสังเกตไปว่าหากเราจะนำโมเมลความสำเร็จที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นนี้มาปรับใช้ในประเทศไทยเรานั้น เราจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน และการสร้างมาสคอตประจำเมืองในแบบไทยๆ จะพอเป็นคำตอบที่ช่วยคลี่คลายปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศได้หรือไม่ ? รวมถึงจะนำไปสู่การส่งเสริมนวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแนวใหม่ให้เกิดขึ้นกับประเทยไทยได้มากน้อยเพียงใด

          


รายการอ้างอิง

การปฏิรูปเศรษฐกิจกระแสใหม่-เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy). สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ     (สวทช.). สืบค้นจาก https://www.nstda.or.th/th/news/5046-digital-economy. (เข้าถึงวันที่ 2 มีนาคม             2563).

ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ และรานี อิฐรัตน์. เศรษฐกิจสร้างสรรค์: จากความคิดสร้างสรรค์ สู่มูลค่าเศรษฐกิจ. กรุงเทพธุรกิจ. สืบค้น         จาก https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/648899. (เข้าถึงวันที่ 18 เมษายน 2563).

เอกณัฏฐ์ สวัสดิ์หิรัญ. Yuru Kyara : Mascot War. สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม. สืบค้นจาก www.tpapress.com   /knowledge_ detail.php?k=86. (เข้าถึงวันที่ 10 มีนาคม 2563).


              [1] การปฏิรูปเศรษฐกิจกระแสใหม่-เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สืบค้นจาก https://www.nstda.or.th/th/news/5046-digital-economy , (เข้าถึงวันที่ 2 มีนาคม 2563).

              [2] ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ และรานี อิฐรัตน์, เศรษฐกิจสร้างสรรค์: จากความคิดสร้างสรรค์ สู่มูลค่าเศรษฐกิจ, กรุงเทพธุรกิจ, สืบค้นจาก https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/648899, (เข้าถึงวันที่ 18 เมษายน 2563).

              [3] เอกณัฏฐ์ สวัสดิ์หิรัญ, Yuru Kyara : Mascot War, สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม, สืบค้นจาก www.tpapress.com/knowledge_ detail.php?k=86 , (เข้าถึงวันที่ 10 มีนาคม 2563).

              [4] ________, เรื่องเดียวกัน, (เข้าถึงวันที่ 10 มีนาคม 2563).


บทความล่าสุด

เมื่อ “ไทย” กลายเป็น “หมากสำคัญ” ของอาชญากรรมจีนเทาในภูมิภาค
เมื่อ “ไทย” กลายเป็น “หมากสำคัญ” ของอาชญากรรมจีนเทาในภูมิภาค

กุลนรี นุกิจรังสรรค์ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากเหตุการณ์ที่นายหวังซิง (หรือชื่อเล่นว่าซิงซิง) นักแสดงชาวจีนถูกหลอกให้มาแคสงานแสดงที่ประเทศไทย แต่สุดท้ายกลับถูกพาไปที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และถูกพาข้ามพรมแดนไปยังประเทศเมียนมาแล้วหายสาบสูญไป กระทั่งแฟนสาวของซิงซิงได

กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2568
กระแสเอเชีย
“เซี่ยงไฮ้” จุดหมายใหม่ของคนไทยติดแกลม
“เซี่ยงไฮ้” จุดหมายใหม่ของคนไทยติดแกลม

กุลนรี นุกิจรังสรรค์ นักวิจัยศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ การยกเว้นวีซ่าระหว่างกันของไทยและจีนตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศจีนนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง โดยในครึ่งปีแรกของปี 2024 จำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่ไปเที่ยวจีนเติบโตขึ้นถึง

กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2568
กระแสเอเชีย
“ผวน” และ “ฝ่าน”(反)ลูกเล่นทางภาษาของไทยและจีน
“ผวน” และ “ฝ่าน”(反)ลูกเล่นทางภาษาของไทยและจีน

ณัฐเสกข์ นาคสิทธิ์ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีลูกเล่นหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการเล่น “คำผวน” ซึ่งเป็นการเล่นคำโดยการสลับตำแหน่งของเสียงพยัญชนะต้น กับเสียงสระและตัวสะกดและวรรณยุกต์ของคำจำนวน 2 พยางค์ขึ้นไป เพื่อให้เกิดคำใหม่ที่อาจจะมีความหมายหรือไม่มีควาหมายก็ได้

ณัฐเสกข์ นาคสิทธิ์
2568
กระแสเอเชีย
มองการเข้ามาของคนจีนผ่านข่าว “การซื้อพาสปอร์ต” ที่ห้วยขวาง
มองการเข้ามาของคนจีนผ่านข่าว “การซื้อพาสปอร์ต” ที่ห้วยขวาง

กุลนรี นุกิจรังสรรค์ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2024 ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ภาพป้ายโฆษณาภาษาจีนที่ติดตั้งกลางสี่แยกห้วยขวางบนโลกอินเตอร์เน็ต จนกลายเป็นประเด็นระดับชาติที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และหลายฝ่ายให้ความสนใจ กระทั่งสำนักงานเขตห้วยขวางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกา

กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2568
กระแสเอเชีย
น้องหมีเนย Butterbear กับแฟนด้อมชาวไทยและจีน
น้องหมีเนย Butterbear กับแฟนด้อมชาวไทยและจีน

กุลนรี นุกิจรังสรรค์ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ หลายคนคงรู้จักน้อง “หมีเนย” หรือ “น้องเนย” มาสคอตหมีสีน้ำตาลอายุ 3 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจากร้าน Butter Bear Cafe แบรนด์ขนมในเครือของร้าน Coffee Beans by Dao ที่ตั้งอยู่ในห้าง Emsphere ชั้น G ซึ่งได้รับความชื่นชอบและได้รับการตอบรับเป็

กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2567
กระแสเอเชีย