สื่อสิ่งพิมพ์

หน้าแรก / สื่อสิ่งพิมพ์

มองมนุษยนิยมเอเชียจากบทเรียนลุ่มน้ำโขง

ดร.ฐณยศ โล่ห์พัฒนานนท์
นักวิจัยศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Thanayod.lo@chula.ac.th

ความเข้าใจมนุษยนิยมเอเชียในปัจจุบัน

แนวคิดมนุษยนิยมเริ่มก่อเกิดในฐานะปรัชญายุคเรอเนสซองส์ โดยให้น้ำหนักแก่ศักยภาพของมนุษย์มากกว่าการพึ่งพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์ มนุษยนิยมมุ่งส่งเสริมความคิดว่า การพัฒนาคุณธรรมสามารถก่อเกิดได้ด้วยบุคคลเอง ตั้งแต่ความเมตตา ความกล้าหาญ ไปจนถึงปัญญาและความยุติธรรม ทั้งยังเชื่อว่า ศักยภาพนี้จะนำไปสู่การปฏิรูปวัฒนธรรมรวมทั้งสร้างสังคมอุดมคติในที่สุด [1]

คำว่า “มนุษยนิยม” เริ่มปรากฏในศตวรรษที่ 19 เพื่ออธิบายกระแสการฟื้นฟูตำราคลาสสิก (เช่น ปรัชญา วาทศิลป์ ประวัติศาสตร์) ของกรีก-โรมันยุคเรอเนสซองส์ เรียกว่า “อุมานิสติ” (umanisti) แนวคิดพื้นฐานมาจากค่านิยม “ฮิวมานิตัส” (humanitas) ของโรมันที่เน้นการพัฒนามนุษย์อย่างรอบด้าน แต่ในบริบทยุโรปยุคกลาง มนุษยนิยมคือการท้าทายอำนาจของศาสนาที่พยายามกำหนดชีวิตผู้คน

แม้กระนั้น แนวคิดมนุษยนิยมไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในบริบทยุโรป ทว่าพบได้ในสารบบของเอเชีย อย่างเช่น มนุษยนิยมขงจื๊อซึ่ง Gier และ Huang ชี้ว่า เน้นการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับจักรวาล [2][3] มนุษยนิยมขงจื๊อยังให้ความสำคัญกับจริยธรรมและความสมดุลระหว่างการกระทำของมนุษย์กับระเบียบแห่งสวรรค์ 

มนุษยนิยมเอเชียสายชมพูทวีปอาจแตกต่างออกไป ดังเห็นได้จากปรัชญาพุทธที่สนับสนุนการเข้าถึงสุขภาวะด้วยความสามารถของมนุษย์เองและให้ยึดหลักพรหมวิหารสี่เพื่อเสริมค่าความเป็นคน นี่คือมุมมองต่อมนุษย์ที่สามารถสร้างสังคมอันอุดมด้วยความรัก [4]

แต่มนุษยนิยมเอเชียก็มีความหลากหลาย และไม่ได้อุบัติในรูปของปรัชญาคำสอนเสมอไป มนุษยนิยมในแบบชาวลุ่มแม่น้ำโขงคือตัวอย่างหนึ่ง เพราะฝังอยู่ในธรรมเนียมประเพณีกับประวัติศาสตร์สังคมมาอย่างยาวนาน หากศึกษาอย่างจริงจัง จะพบว่า แนวคิดมนุษยนิยมแห่งลุ่มน้ำโขงไม่ได้ติดอยู่ในกรอบคัมภีร์ใด ทั้งยังได้รับการยอมรับในฐานะวิถีปฏิบัติที่มีชีวิตเพื่อถักทอความสัมพันธ์ของผู้คนในภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น มนุษยนิยมลุ่มน้ำโขงอาจจะมิใช่เพียงเพื่อเชิดชูศักดิ์ศรีปัจเจกบุคคล แต่เพื่อรองรับภราดรภาพและความเข้าอกเข้าใจกันแม้ในวิกฤตการณ์ลุ่มน้ำโขงซึ่งหลายฝ่ายกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน


วิถีลุ่มน้ำโขงกับสายสัมพันธ์เชิงนิเวศ

สังคมลุ่มแม่น้ำโขงได้วางฐานความคิดว่า มนุษย์มิใช่ผู้พิชิตธรรมชาติ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน ปรัชญานี้ถูกหล่อหลอมและสั่งสมผ่านพิธีกรรมกับประเพณีหลากหลาย เช่น บุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีร่วมในวัฒนธรรมไท-ลาว-เขมร บุญบั้งไฟเป็นภาษาสัญลักษณ์ ชุมชนใช้บั้งไฟสื่อสารกับธรรมชาติโดยกำหนดให้เป็นสื่อกลางการติดต่อกับแถน หรือ ผีฟ้าเป็นผู้ควบคุมสรรพชีวิต ทั้งนี้เพื่อขอให้ประทานฝนตามฤดูกาล [5] ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่การยอมจำนนต่ออำนาจบนฟ้า แต่เป็นการอ้อนวอนและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอำนาจนั้น เปรียบเสมือนการยอมรับพลังที่อธิบายไม่ได้และความพยายามปรับตัวเข้าหาอย่างถ่อมตน

ตัวอย่างดังกล่าวนำไปสู่นิยามของมนุษย์ที่ดีในสายตาของชาวลุ่มน้ำโขง มนุษย์ที่ดีไม่จำเป็นต้องร่ำรวย หรือ มีอำนาจสูงสุด แต่ต้องอยู่อย่างพอดี รู้ขอบเขตตนเอง และไม่ทำลายสมดุลชีวิตรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ แม่น้ำ สัตว์ป่า หรือแม้แต่จิตวิญญาณที่คอยปกปักรักษาท้องถิ่น การใช้ชีวิตอย่างพอประมาณและเคารพในวงจรชีวิตจึงเป็นจริยธรรมสูงสุด

ด้วยเหตุข้างต้น วิถีลุ่มน้ำโขงไม่ใช่แค่รูปแบบการดำรงชีพ แต่ให้คุณค่ากับมนุษย์ในฐานะส่วนหนึ่งของระบบนิเวศอันใหญ่กว่า มนุษย์มีศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่อาจแยกตัวออกมาจากธรรมชาติ นี่คือจุดต่างจากแนวคิดของขงจื๊อซึ่งเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางและสร้างระเบียบเพื่อความสงบของสังคม แต่มนุษยนิยมแห่งลุ่มน้ำโขงมุ่งสร้างคนดีที่อยู่ร่วมกับทุกสรรพสิ่งได้อย่างเป็นสุข

ภาพ 1: พิธีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร – ตัวอย่างของการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับฟ้าซึ่งสะท้อนความเชื่อในพลังธรรมชาติของชาวลุ่มโขง

ภาพที่ 1: พิธีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร – ตัวอย่างของการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับฟ้าซึ่งสะท้อนความเชื่อในพลังธรรมชาติของชาวลุ่มโขง
ที่มา: https://www2.yasothon.go.th/people-of-kut-chum-yasothon-flock-to-sing-in-a-city-wide-dance-sending-a-message-to-phaya-taen-to-continue-the-legend-of-the-greatest-rocket-festival-in-2568/


ความสัมพันธ์แบบชุมชน: เครือญาติข้ามพรมแดน

ความสัมพันธ์ในลุ่มน้ำโขงมีลักษณะพิเศษ แม้จะยังมีความเคารพต่อผู้ใหญ่และลำดับชั้น แต่จิตสำนึกพื้นฐานคือการมองว่าทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายชีวิตเดียวกัน ความสัมพันธ์จึงคล้ายพี่น้องร่วมพึ่งพาสายน้ำมากกว่าจะเป็นการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นอย่างในหลักขงจื๊อ

ในการนี้ น้ำคือศูนย์กลางของความเป็นญาติ ทำให้หมู่บ้านตามสองฝั่งโขงในไทย ลาว กัมพูชามีสายเลือดและวัฒนธรรมร่วม พิธีกรรมอย่างบุญเดือนสิบ หรือ บุญข้าวสากที่มีการแลกเปลี่ยนอาหารและแบ่งปันผลผลิตเป็นพิธีที่ย้ำเตือนความเป็นเครือญาติ ขณะที่เส้นแบ่งรัฐชาติเป็นเรื่องทางภูมิรัฐศาสตร์และบางครั้งก็มีนัยแข็งทื่อเมื่อเทียบกับสายสัมพันธ์ดังกล่าว [6]

อาจมองได้ว่า ความเป็นพี่น้องและเครือญาตินี้เป็นรากฐานของคุณค่ามนุษย์แบบชุมชนร่วมใจ ความเข้มแข็งของชุมชนลุ่มน้ำโขงจึงไม่ได้อยู่ที่การมีผู้นำเข้มแข็งที่สุด แต่อยู่ที่ความหนาแน่นของสายสัมพันธ์ และนี่คือภูมิปัญญาซึ่งทำให้สังคมลุ่มน้ำโขงดำรงอยู่ได้หลายชั่วอายุคน


โลกของผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์: การอยู่ร่วมกับสิ่งที่มองไม่เห็น

ขงจื๊อยึดหลักไม่พูดเรื่องผีสางเทวดาและความเร้นลับ แต่เน้นการสร้างระเบียบสังคมผ่านจารีตและศีลธรรมระหว่างมนุษย์ด้วยกัน โดยจงใจวางประเด็นชีวิตหลังความตายไว้ในที่มืดด้วยพิสูจน์ไม่ได้และอาจเบี่ยงเบนความสนใจจากเป้าการปกครองกับเป้าศีลธรรม

แต่สำหรับชาวลุ่มน้ำโขง โลกนี้ไม่ได้มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ทว่ามีเพื่อนจากอีกภพภูมิ ทั้งยังไม่อาจนับเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่อยู่ห่างไกล [7] 

ผีบ้าน ผีเรือน คือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ผีเหล่านั้นยังคงดูแลลูกหลาน ผีน้ำ ผีป่า คือจิตวิญญาณ หรือ ผู้คุ้มครองระบบนิเวศ การเคารพผีจึงไม่ต่างจากการรักษาสมดุลเชิงนิเวศและสังคม รวมไปถึงความเคารพต่อโลก 

สำหรับคนในพื้นที่ การเซ่นไหว้ผีป่า ผีน้ำ อาจไม่ได้เกิดจากความกลัวอย่างงมงายเท่านั้น หากแต่เป็นกลไกทางวัฒนธรรมสำหรับรักษาสมดุล เช่น การห้ามตัดไม้ในป่าศักดิ์สิทธิ์คือการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำโดยใช้ความเชื่อเป็นเครื่องมือ การไม่ทำประมงในช่วงพิธีกรรม หรือ ในวาระสำคัญของผีน้ำคือการให้เวลาธรรมชาติได้ฟื้นฟู ข้อห้ามเกี่ยวกับการล่าสัตว์บางชนิดด้วยความเชื่อว่า เป็นสัตว์คู่บุญของผี คือการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

มนุษย์ผู้มีคุณค่าในมุมนี้จึงหมายถึงมนุษย์ผู้มองเห็นและให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยงทั้งหมด การรู้จักเคารพสิ่งที่มองไม่เห็นเท่ากับการมีวินัยในใจ ไม่แสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยัง เพราะรู้ว่า มีเพื่อนร่วมโลกกับผู้มีอำนาจสูงกว่าคอยเฝ้ามอง


มนุษยนิยมเชิงจิตวิญญาณ 

จากความเป็นไปข้างต้น “มนุษยนิยมเชิงจิตวิญญาณ” อาจเป็นคำนิยามคุณค่ามนุษย์ในบริบทความเชื่อนี้ กล่าวคือ มนุษย์มีคุณค่าไม่ใช่เพราะมีเหตุผล หรือ ศีลธรรมเพียงอย่างเดียว (ดังเช่นในแนวคิดของขงจื๊อ หรือ มนุษยนิยมตะวันตกคลาสสิก) แต่เพราะมนุษย์มีความสามารถที่จะรับรู้ สื่อสาร และสร้างสัมพันธ์กับมิติของจิตวิญญาณรอบตัว

ดังนั้นมนุษย์ในโลกทัศน์ลุ่มน้ำโขงจึงเป็นบุคคลในเครือข่ายสัมพันธ์ที่ใหญ่กว่าเครือญาติและชุมชน สมาชิกต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรพบุรุษ (ผีปู่ย่า) กับธรรมชาติ (ผีป่า ผีน้ำ) และกับพลังแห่งท้องถิ่น (ผีบ้าน) การจะอยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุขได้นั้น ต้องอาศัยการรักษาสมดุลในเครือข่ายสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ให้ได้ซึ่งจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันกับสรรพสิ่งอย่างร่มเย็น

โลกของผีในลุ่มน้ำโขงจึงอาจไม่ใช่โลกแห่งความงมงาย แต่เป็นโลกแห่งจริยธรรมเชิงนิเวศที่ซับซ้อน มีชีวิตชีวา นี่เป็นสัญญาณของการเชิดชูมนุษย์รูปแบบหนึ่งโดยมุ่งยกระดับจิตสำนึกของบุคคลให้ถ่อมตน และรู้ว่า มีพันธะที่ต้องดูแลรักษาระบบทางใจ


พหุนิยมทางความเชื่อและชาติพันธุ์

ระบบคิดแบบขงจื๊อ หรือ กระทั่งพราหมณ์ยุคโบราณมีแนวโน้มสร้างศูนย์กลางกับลำดับชั้น แต่ประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำโขงกลับบ่มเพาะนิสัยใจคอที่ต่างออกไป

แม่น้ำโขงเป็นเหมือนเส้นทางไหลเวียนของผู้คน วัฒนธรรม และความเชื่อมากกว่าจะเป็นจุดรวมศูนย์ ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นไทดำ ม้ง ลาวพวน เขมร จาม หรือกลุ่มอื่น ต่างอพยพ แลกเปลี่ยน และตั้งรกรากในภูมิภาค นำโลกทัศน์และพิธีกรรมของตนมาปฏิบัติ และในที่สุดก็เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน

ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือการที่พุทธศาสนาเถรวาทไม่ได้เข้ามาแทนความเชื่อดั้งเดิมเรื่องผี แต่กลับประสานเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น วัดพุทธอาจเป็นศูนย์กลางของชุมชน แต่ในบ้านทุกหลังก็มีศาลผีบรรพบุรุษ พราหมณ์อาจมีบทบาทในพระราชพิธี หมอผี หรือ หมอทรงก็มีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คน ความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกันในมุมมองของชาวบ้าน แต่อยู่ร่วมในระบบนิเวศเดียวกันโดยตอบโจทย์ความต้องการทางจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน

มนุษย์ที่ดีจึงต้องทำหน้าที่ของผู้ปรับตัว ไม่ใช่ผู้ตัดสิน มนุษย์ที่ดีไม่อาจเป็นผู้ยึดติดกับความจริงเพียงชุดเดียว มนุษย์ที่ดีคือผู้ที่เข้าใจว่า โลกนี้มีวิธีคิดและวิธีอันหลากหลาย ไม่รีบวิพากษ์ความเชื่อ หรือ วิถีชีวิตของเพื่อนต่างชาติพันธุ์ ในแง่นี้คุณค่ามนุษย์ยึดโยงกับพหุนิยมเพื่อรักษาความยืดหยุ่นกับความยั่งยืน และจิตวิญญาณแห่งการอยู่ร่วมอย่างหลากหลายนี้ทำให้สังคมลุ่มน้ำโขงดูดซับความเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ มันเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งซึ่งสอนให้รู้ว่า ความเข้มแข็งของชุมชนไม่ได้มาจากความเหมือน แต่มาจากความสามารถในการร้อยเรียงความต่างให้เป็นเครือข่าย มองคุณค่าของมนุษย์จากความสามารถในการสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของแม่น้ำที่รับเอาสายน้ำทุกสาขาเข้ามารวมกันเป็นพลัง

ภาพ 2: แม่น้ำโขงมุมสูง อำเภอเชียงคาน – สายน้ำที่เป็นทั้งทรัพยากร ชีวิต และจิตวิญญาณร่วมของภูมิภาค

ภาพที่ 2: แม่น้ำโขงมุมสูง อำเภอเชียงคาน – สายน้ำที่เป็นทั้งทรัพยากร ชีวิต และจิตวิญญาณร่วมของภูมิภาค
ที่มา: https://1672travelbuddy.com/ที่เที่ยวภาคอิสาน/เลย/✨เชียงคาน-เลย✨/


น้ำในฐานะจิตวิญญาณร่วม

ในโลกของลุ่มน้ำโขง น้ำไม่ได้เป็นเพียงทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือจิตวิญญาณหล่อเลี้ยงชีวิต ทั้งยังเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน [8] ช่วยสร้างการยอมรับและหล่อหลอมความหลากหลายโดยไม่ยึดติดรูปแบบตายตัว คุณค่าของมนุษย์ในพื้นที่อาจเทียบได้กับคุณสมบัติของน้ำดังนี้

  1. น้ำรู้จักปรับตัว เปลี่ยนรูปร่างไปตามภาชนะ ไหลอ้อมภูเขา เปลี่ยนเส้นทาง ไม่ดื้อดึงตายตัว มนุษย์ลุ่มน้ำโขงก็เช่นกัน ต้องรู้จักปรับตัวกับฤดูกาล กับเพื่อนบ้าน และกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
  2. น้ำมีพลังชำระล้างและให้เริ่มต้นใหม่ทุกปีดังเห็นจากพิธีกรรม เช่น ลอยกระทง ที่ลอยความทุกข์โศกโรคภัยไปกับสายนที นี่คือการสอนให้มนุษย์รู้จักปล่อยวาง และให้อภัย ไม่ยึดติดกับความผิดพลาดขัดแย้ง
  3. น้ำอ่อนโยนแต่มั่นคง ดูนุ่มนวลแต่มีพลัง สามารถกัดเซาะผาหินในระยะยาว นี่สะท้อนถึงความเข้มแข็งของชาวลุ่มน้ำโขงที่ไม่ใช่การต่อสู้แบบฟาดฟัน แต่คือความอดทน รวมทั้งความสามารถในการอยู่รอดผ่านกาลเวลา

อาจกล่าวได้ว่า หนึ่งในคุณค่ามนุษย์คือการมีหัวใจเหมือนน้ำ ไม่ยึดติดกับอัตตาจนไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น มนุษยนิยมจากบทเรียนลุ่มน้ำโขงจึงอาจหมายถึงมนุษย์ผู้มีค่าในแบบเปิดกว้าง โอบรับ และให้อภัย และความเป็นไปนี้เองที่ทำให้สังคมลุ่มน้ำโขงผ่านประวัติศาสตร์มานานนับพันปีโดยยังรักษาแก่นแท้ของตัวเองไว้

ภาพ 3: ชาวประมงบนสายน้ำโขง – ตัวอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเป็นจิตวิญญาณร่วมของผู้คนทั้งภูมิภาค

ภาพที่ 3: ชาวประมงบนสายน้ำโขง – ตัวอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเป็นจิตวิญญาณร่วมของผู้คนทั้งภูมิภาค
ที่มา: https://theisaanrecord.co/2022/06/16/community-rights-in-thai-version/


มนุษยนิยมเอเชียในภาพรวม

เมื่อรวมเสียงจากลุ่มน้ำโขงเข้าไป มนุษยนิยมเอเชียกลับไม่ใช่เรื่องของศีลธรรม หรือ กฎระเบียบเพื่อระเบียบสังคมเพียงอย่างเดียว แต่คือเรื่องของความสัมพันธ์เชิงชีวิต ทำให้เห็นว่า มนุษย์ไม่ใช่เพียงผู้ทำหน้าที่ แต่คือผู้เข้าใจและเชื่อมโยง มนุษยนิยมเอเชียจึงยืนอยู่บนฐานของความเข้าอกเข้าใจและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว มนุษย์ไม่ได้มีค่าอย่างโดดเดี่ยว แต่มีค่าจากความสามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น และ/หรือ ทำให้สังคมรอบข้างมีความหมายมากขึ้น

ณ จุดนี้มนุษยนิยมเอเชียเหมือนกับมนุษยนิยมตะวันตกตรงความเชื่อมั่นในคุณค่ามนุษย์ แต่ก็ต่างด้วยหลักคิด ขณะที่มนุษยนิยมตะวันตกพูดถึงเสรีภาพของปัจเจก มนุษยนิยมเอเชียกลับพูดถึงหัวใจที่เชื่อมโยงเข้าหากันดังเช่นชีวิตในลุ่มน้ำโขง

ความเข้าใจมนุษยนิยมเอเชียช่วยให้เห็นปรากฏการณ์หลายอย่างชัดขึ้น คอนเทนต์เอเชีย เช่น ภาพยนตร์ หรือ ซีรีส์จากเกาหลีใต้ ไทย จีน ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะโลกกำลังโหยหาความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ไม่ใช่แค่ความสำเร็จส่วนตัว ความเข้าใจมนุษยนิยมเอเชียยังอาจช่วยวิเคราะห์บทบาทวัฒนธรรมเอเชียในยุคการทูต หรือ รองรับงานยุทธศาสตร์เชื่อมโยงไทย-นานาชาติ เพราะมันคือหัวใจของการใช้ชีวิตแบบตะวันออกซึ่งกำลังเป็นที่ไขว่คว้าในหลายภูมิภาค 

ไม่ว่าอย่างไร เมื่อมนุษยนิยมเอเชียถือว่า ศักยภาพของมนุษย์ไม่ได้เกิดจากการแยกตัว แต่จากการอยู่ร่วม บทเรียนจากลุ่มน้ำโขงจึงมิใช่เพียงเรื่องของวัฒนธรรมภูมิภาค หากคือคำเชื้อเชิญให้เรามองมนุษย์ด้วยใจที่เชื่อมถึงชีวิตรอบข้าง


อ้างอิง

[1] Patel, Chirag, and Rishabh Prasad. The Real History of Humanism. The Hidden History of Humanism Series, Part 1. 2021.

[2] Gier, Nicholas F. The Virtues of Asian Humanism. The Journal of Oriental Studies, Vol. 12, 2002, pp. 174–188.

[3] Huang, Chun-chieh. “Humanism in East Asia.” In The Oxford Handbook of Humanism, edited by Anthony B. Pinn. Oxford: Oxford University Press, 2020. https://doi.org/10.1093/oxfordhb/9780190921538.013.31

[4] Keown, Damien. Buddhism: A Very Short Introduction. Oxford: Oxford University Press, 2013.

[5] รัชชัย ขยันทำ. (2566). วัฒนธรรมความเชื่อที่เกี่ยวข้องประเพณีบั้งไฟของคนอีสาน [Culture beliefs about the fireball traditions of Isan people]. วารสารปริทรรศน์ทางปรัชญา (Journal of Philosophical Vision), 22(2), 89–99.

[6] กฤษดา บุญชัย. (2553). ประวัติศาสตร์ “ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” [The History of “Mekong Region”]. วารสารชุมชนลุ่มน้ำโขง (Journal of Mekong Community), 6(1), 85–106. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน).

[7] พระครูภัทริวิสุทธิ์ภัทร, พระมหาประหยัด ปญฺญาวุโธ, พระมหาประทีป อภิปุณฺโณ, พระมหาประสิทธิ์ อภิปุณฺโณ, พระวินัยชัย อภิญฺญาโต, และเจษฎา บุญยาพอ. (2558). ศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อเรื่องพระยาแถน พญานาค และการถือผีของประชาชนสองฝั่งโขง: กรณีศึกษาจังหวัดหนองคายและนครหลวงเวียงจันทน์ [A comparative study of beliefs about Phaya Thaen, Naga, and spirit worship of people on both sides of the Mekong River: A case study of Nong Khai and Vientiane]. วารสารศรีล้านช้างปริทรรศน์ (Srilanchang Review), 1(2), 1–18. วิทยาลัยศรีล้านช้าง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

[8] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2554). ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมลุ่มแม่น้ำโขง [Document on the consideration of a motion requesting the House of Representatives to establish an ad hoc committee to study environmental problems in the Mekong River Basin]. กรุงเทพมหานคร: สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.


บทความล่าสุด

เมื่อ “ไทย” กลายเป็น “หมากสำคัญ” ของอาชญากรรมจีนเทาในภูมิภาค
เมื่อ “ไทย” กลายเป็น “หมากสำคัญ” ของอาชญากรรมจีนเทาในภูมิภาค

กุลนรี นุกิจรังสรรค์ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากเหตุการณ์ที่นายหวังซิง (หรือชื่อเล่นว่าซิงซิง) นักแสดงชาวจีนถูกหลอกให้มาแคสงานแสดงที่ประเทศไทย แต่สุดท้ายกลับถูกพาไปที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และถูกพาข้ามพรมแดนไปยังประเทศเมียนมาแล้วหายสาบสูญไป กระทั่งแฟนสาวของซิงซิงได

กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2568
กระแสเอเชีย
“เซี่ยงไฮ้” จุดหมายใหม่ของคนไทยติดแกลม
“เซี่ยงไฮ้” จุดหมายใหม่ของคนไทยติดแกลม

กุลนรี นุกิจรังสรรค์ นักวิจัยศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ การยกเว้นวีซ่าระหว่างกันของไทยและจีนตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศจีนนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง โดยในครึ่งปีแรกของปี 2024 จำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่ไปเที่ยวจีนเติบโตขึ้นถึง

กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2568
กระแสเอเชีย
“ผวน” และ “ฝ่าน”(反)ลูกเล่นทางภาษาของไทยและจีน
“ผวน” และ “ฝ่าน”(反)ลูกเล่นทางภาษาของไทยและจีน

ณัฐเสกข์ นาคสิทธิ์ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีลูกเล่นหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการเล่น “คำผวน” ซึ่งเป็นการเล่นคำโดยการสลับตำแหน่งของเสียงพยัญชนะต้น กับเสียงสระและตัวสะกดและวรรณยุกต์ของคำจำนวน 2 พยางค์ขึ้นไป เพื่อให้เกิดคำใหม่ที่อาจจะมีความหมายหรือไม่มีควาหมายก็ได้

ณัฐเสกข์ นาคสิทธิ์
2568
กระแสเอเชีย
มองการเข้ามาของคนจีนผ่านข่าว “การซื้อพาสปอร์ต” ที่ห้วยขวาง
มองการเข้ามาของคนจีนผ่านข่าว “การซื้อพาสปอร์ต” ที่ห้วยขวาง

กุลนรี นุกิจรังสรรค์ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2024 ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ภาพป้ายโฆษณาภาษาจีนที่ติดตั้งกลางสี่แยกห้วยขวางบนโลกอินเตอร์เน็ต จนกลายเป็นประเด็นระดับชาติที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และหลายฝ่ายให้ความสนใจ กระทั่งสำนักงานเขตห้วยขวางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกา

กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2568
กระแสเอเชีย
น้องหมีเนย Butterbear กับแฟนด้อมชาวไทยและจีน
น้องหมีเนย Butterbear กับแฟนด้อมชาวไทยและจีน

กุลนรี นุกิจรังสรรค์ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ หลายคนคงรู้จักน้อง “หมีเนย” หรือ “น้องเนย” มาสคอตหมีสีน้ำตาลอายุ 3 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจากร้าน Butter Bear Cafe แบรนด์ขนมในเครือของร้าน Coffee Beans by Dao ที่ตั้งอยู่ในห้าง Emsphere ชั้น G ซึ่งได้รับความชื่นชอบและได้รับการตอบรับเป็

กุลนรี นุกิจรังสรรค์
2567
กระแสเอเชีย