โดย ณัฐเสกข์ นาคสิทธิ์

เราคนไทยที่คุ้นชินกับนักท่องเที่ยวจีนในปัจจุบัน ที่หลั่งไหลเข้ามาในไทยอย่างมากมาย บ้างก็เข้ามาเพื่อกินเที่ยวและดื่ม บ้างก็เข้ามาด้วยมีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือการศึกษา ในจำนวนนักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็มีไม่น้อยเลยที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อตามรอยความเชื่อความศรัทธา เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่าก่อนที่จีนจะเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์ ที่ต่อต้านการนับถือศาสนาและความเชื่ออื่นๆ นอกจากลัทธิคอมมิวนิสต์นั้น ประเทศจีนหรืออย่างน้อยก็อาณาจักรจีนโบราณนั้นก็เคยมีศาสนา ลัทธิความเชื่อเกิดขึ้นและเคยรับเอาศาสนาสำคัญอย่างพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ (อยู่ในบางยุคสมัย) แต่เมื่อคอมมิวนิสต์ปกครองบ้านเมือง กลุ่มความคิดความเชื่ออื่นจำเป็นต้องหลีกทางให้กับการเป็นคอมมูน การทำเพื่อส่วนรวมและการสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ ตามวิถีทางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ศาสนาและลัทธิต่างๆ ก็ถูกกวาดหายไปจากจีน เหลือไว้เพียงมรดกทางวัฒนธรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยความที่ห่างหายไปจากการศึกษาและเข้าใจและการมีชีวิตประจำวันที่คลุกคลีอยู่กับพระพุทธศาสนา ทำให้คนจีนในยุคใหม่ ถึงแม้จะได้รับเสรีภาพมากขึ้นในการจะกระทำศาสนกิจตามความเชื่อดั้งเดิมก็ตาม แต่ก็เป็นการรับรู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจถึงแก่นของศาสนา ในมุมมองของด้านนักท่องเที่ยวที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะเป็นกลุ่มของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อทำการเซ่นสรวง สักการะบูชาพระต่างๆ ในประเทศไทย ที่มีชื่อเสียงที่สุดคงจะไม่พ้นศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์
เกี่ยวเนื่องกับศาลท้าวมหาพรหมฯ สื่อต่างๆ ทั้งทางจีนและทางไทย ต่างก็นำเสนอชื่อเรียกของพระพรหม หรือท้าวมหาพรหมนี้ออกมาว่า 四面佛 (อ่านว่า sìmiàn fó /ซื่อเมี่ยนฝอ/) แปลความหมายตามตัวอักษรว่า “พระสี่หน้า” ซึ่งก็ตรงกับพระลักษณะขององค์ท้าวมหาพรหมจริงๆ หากแต่ประเด็นอยู่ที่ว่า คำว่า 佛 ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “พรหม” แต่แปลว่า “พุทธ” ซึ่งอักษรตัวนี้เป็นอักษรที่ใช้ในการแปลคัมภีร์ทางศาสนา โดยใช้แทนเสียงคำว่า बुद्ध /budḍha/ ในภาษาสันกฤต ซึ่งก็คือคำว่า “พุทธะ” ในภาษาไทย ซึ่งอักษร 佛ตัวนี้ มีเสียงอ่านตามเสียงภาษาจีนโบราณยุคต้นที่สืบสร้างกันว่า *bɯd /บึด/ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเลือกใช้เสียงที่ใกล้เคียงกับภาษาต้นทางอย่างภาษาสันสกฤตมาก
คำว่า बुद्ध ถอดเสียงออกมาได้ว่า /budḍha/ ซึ่งตามหลักสัทศาสตร์แล้วจะต้องอ่านออกเสียง [b] หรือเทียบได้กับเสียง บ.ใบไม้ ในภาษาไทย จะสังเกตได้ว่าทั้งภาษาจีนโบราณที่แปลทับเสียงคำนี้มาได้เลือกใช้อักษร 佛 ที่ในสมัยนั้นมีเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียง [b] เพื่อให้ตรงกับภาษาต้นทาง ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน ที่ถอดเสียงคำนี้เป็น Buddha ที่คนฝรั่งอ่านกันว่า “บุดด้า” ก็ถอดเป็นเสียง บ.ใบไม้ ตามภาษาต้นทาง จะพิเศษก็ที่ภาษาไทยของเราถอดเสียงนี้ออกมาเป็นเสียง [ph] หรือ พ.พาน ไป ในภาษาไทยคำนี้จึงกลายเป็น “พุทธ” นั่นเอง
เช่นนี้แล้ว เมื่อ 佛 เป็นอักษรที่แปลทับเสียงคำว่า “พุทธ” ในภาษาสันสกฤต ความหมายจึงครอบคลุมในบริบทของสิ่งที่เป็นพุทธเท่านั้น (ตามจริงหมายถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ภายหลังจึงหมายถึงสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าได้ เช่น พระพุทธศาสนาหรือพระพุทธรูป) อักษรนี้จึงไม่เหมาะที่จะนำมาแปลชื่อเรียกของท้าวมหาพรหม ในจุดนี้คนไทยอย่างเราคงเป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า “พรหม” ที่เป็นมหาเทพผู้สร้างกับ “พุทธ” ที่แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคำสองคำ ที่นิยามสิ่งสองสิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เราจึงไม่สามารถเอาคำว่า “พุทธ” ไปแทนที่คำว่า “พรหม” ได้ และท้าวมหาพรหมจึงไม่สามารถใช้ชื่อเรียกว่า 四面佛 ได้
แต่คนจีนกลับไม่เข้าใจรายละเอียดในข้อที่ว่า “พุทธ” ไม่ใช่ “พรหม” นี้ เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยจีนก็เคยรับเอาแนวคิดและลัทธิความเชื่อของทั้งพราหมณ์และพุทธมาก่อน (เช่นในวรรณคดีไซอิ๋วเป็นต้น) ซึ่งความไม่เข้าใจนี้ จะว่ามีสาเหตุมาจากการปฏิวัติวัฒนธรรมก็ดี หรือจะเป็นอิทธิพลคอมมิวนิสต์ก็ดีหรือมาจากการแนะนำโดยคนไทยที่ก็สับสนระหว่างความเชื่อพราหมณ์และพุทธเสียเองก็ดี ก็ส่งผลระยะยาวให้คนจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวหรือพักอาศัยในประเทศไทย ได้ยินได้ฟังและรับรู้เข้าใจไปว่า “พรหม” คือ “พุทธ”
หากกล่าวว่าความเข้าใจผิดนี้เกิดจากคนจีนที่ผ่านการปฏิวัติวัฒนธรรมและปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์มา ทำให้ห่างหายจากการศึกษาแนวความเชื่อและวัฒนธรรมอื่นๆ มานาน จนไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง “พุทธ” กับ “พรหม” ได้ ประจวบกับการมองว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ สิ่งใดที่มีลักษณะเป็นรูปเคารพและได้รับการนับถือกราบไหว้ ก็เหมาเอาว่าเป็นพระพุทธรูปหรือเป็น “พุทธ” ไปทั้งหมด ก็พอจะเป็นที่เข้าใจได้บ้างว่าเขาไม่รู้จริงๆ
หรือหากเป็นการนำเสนอแบบผิดๆ จากคนไทยที่ไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง “พรหม” กับ “พุทธ” แล้วแปลชื่อเรียกตามความสะดวก เหมารวมรูปเคารพทุกอย่างว่าเป็น 佛 ไปทั้งหมด เช่นนี้เราคงต้องทบทวนตัวเราเอง ในเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ศาสนากันใหม่ว่า เราเข้าใจและรู้จักในสิ่งที่เรานับถืออยู่จริงหรือไม่ และเราพร้อมจะนำเสนอวัฒนธรรมด้านนี้ให้กับแขกบ้านแขกเมืองอย่างถูกต้องและครบถ้วนหรือไม่
ดังนั้น ถ้า 四面佛 ที่สื่อทั้งหลายใช้กันจนเป็นคำสำคัญของท้าวมหาพรหมท่านแล้ว เป็นคำที่แปลความได้เพี้ยนไปจากความหมายเดิม คือทำให้คนจีนสับสนระหว่างพุทธกับพรหม เช่นนี้แล้วเราควรจะเรียกท้าวมหาพรหมว่าอย่างไรจึงจะถูกต้องตามความหมายดั้งเดิม
ภาษาจีนมีคำที่แปลทับเสียงคำว่า “พุทธ” คือ 佛 แล้วภาษาจีนมีคำที่แปลทับเสียงคำว่า “พรหม” หรือไม่ คำตอบคือมี และอักษรตัวนั้นคือ 梵 (อ่านว่า fàn /ฟ่าน/) เมื่อเห็นอักษรตัวนี้หลายท่านคงจะนึกถึงคำว่า 梵语 (อ่านว่า fànyǔ /ฟ่านอวี่/) ที่แปลว่า “ภาษาสันสกฤต” ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว คำนี้แปลว่าภาษาสันสกฤตจริงๆ แต่คำว่า 梵 ยังกินความหมายถึง “สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอินเดียโบราณ” นอกจากนี้หากใช้วิธีสืบสร้างเสียงภาษาโบราณของอักษร 梵 เช่นเดียวกับที่สืบสร้างเสียงโบราณของคำว่า “พุทธะ” ก็จะพบว่า อักษรตัวนี้มีเสียงอ่านในภาษาจีนโบราณยุคต้นว่า *bloms /โบลมส/ ซึ่งก็เป็นการถอดเสียงมาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า ब्रह्मा /brahmā/ ที่แปลว่า “พรหม” อีกด้วย) เช่นเดียวกับคำว่า “พุทธ” คำว่า “พรหม” มีเสียงพยัญชนะต้นในภาษาต้นทางเป็นเสียง [b] หรือเสียง บ.ใบไม้ ในภาษาไทย แต่หลักการถอดเสียงจากภาษาสันกฤตมาเป็นภาษาไทย กลับถอดเสียงนี้ออกมาเป็นเสียง [ph] หรือ พ.พาน ไปทั้งระบบ ทำให้เรามีชื่อเรียกทั้งพุทธและพรหม ที่แตกต่างจากภาษาอื่นๆ (ภาษาจีนโบราณยุคต้นอ่าน /โบลมส/ ภาษาอังกฤษว่า Brahma /บรามา/)
แนวคิดศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ปะปนกันมาช้านาน การที่คนจีนสมัยใหม่ที่ห่างหายไปจากการเข้าใจหลักศาสนาในข้อที่ว่า “พุทธ” ไม่ใช่ “พรหม” จะเลือกแปล “ท้าวมหาพรหม” เป็น “พระพุทธเจ้าสี่พักตร์” จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในฐานะคนไทยที่เป็นเจ้าบ้าน เราจึงควรเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความเชื่อในข้อนี้ เพื่อจะได้นำเสนอแนวคิดที่ถูกต้อง เกี่ยวกับความเชื่อและความศรัทธานี้ ว่าแท้จริงแล้ว สิ่งใดคือ “พรหม” และช่วยปรับปรุงชุดความคิดของคนจีนที่ว่า รูปเคารพทุกอย่างเป็นของศาสนาพุทธ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแปลที่ลักลั่นออกมาในภายภาคหน้า เกรงว่าพระพุทธเจ้าจะถูกนำไปรวมร่างกับเทพองค์ต่างๆ จนปนเปไปหมด
หมายเหตุ : หากใช้คำว่า 梵 แทนคำว่า “พรหม” แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีคำขยายว่า “สี่พักตร์” หรือ 四面 อีกต่อไป เพราะคำว่า 梵 ก็กินความหมายของคำว่าพรหมและพระลักษณะของท้าวมหาพรหมไว้ครบถ้วนแล้ว ในจีนจึงใช้เป็นคำว่า 梵天 fàntiān แปลว่า “ท้าวมหาพรหม” นั่นเอง (คำนี้ใช้กันอย่างเป็นทางการในวงวิชาการด้านอินเดียศึกษาในจีน แต่ประชาชนคนทั่วไปต่างก็เรียกพระพรหมว่า 四面佛 กันจนเคยชินไปแล้ว) หรือหากจะใช้คำว่า “สี่พักตร์” เพื่อแสดงลักษณะเด่นของท้าวมหาพรหม ก็อาจจะเลือกแปลความด้วยคำใหม่ เป็น 四面神 sìmiàn shén /ซื่อเมี่ยนเสิน/ เทพเจ้าสี่หน้า ก็ดูจะเข้ากับบริบทของความเป็นเทพเจ้าของท่าน มากกว่าที่จะยัดเยียดการเป็นพระพุทธเจ้าให้กับท่านมากทีเดียว
อ้างอิง
[1] ZDic.net. สัทวิทยาภาษาจีน-เสียงโบราณยุคต้น “ฟ่าน”.
สืบค้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2562 จาก https://www.zdic.net/zd/yy/sgy/梵
[2] ZDic.net. สัทวิทยาภาษาจีน-เสียงโบราณยุคต้น “ฝอ”. สืบค้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2562 จาก https://www.zdic.net/zd/yy/sgy/佛
[3] “四面佛”非佛,〔泰〕 释阿难,《法音》ปี 2559 ฉบับที่ 1,หน้าที่ 59. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2562 จาก http://www.chinabuddhism.com.cn/fayin/dharma/2016.1/g201601f17.htm