


รำลึกโศกนาฏกรรม ‘นักบะห์’
ศราวุฒิ อารีย์
- สำเร็จการศึกษาปริญญาโทและเอก สาขาเอเชียตะวันตกศึกษา (อินเดีย)
- นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
http://www.thaiworld.org/thn/thailand_monitor/answera.php?question_id=1449
“พวกเราคงลืมไปแล้วว่า เรามิได้เข้ามาในดินแดนที่เวิ้งว้างว่างเปล่า แล้วจับจองสืบทอดมัน แต่พวกเราเข้ามา
พิชิตดินแดนประเทศที่มีกลุ่มคนอาศัยอยู่ก่อนหน้าแล้ว”
Moshe Sharett รองนายกรัฐมนตรีอิสราเอล (1953-1955)
ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปีถือเป็นช่วงที่ชาวปาเลสไตน์ทั่วโลกต่างรำลึกถึง “วันแห่งความหายนะ” ย้อนกลับไปเมื่อ 67 ปีที่แล้วในปี ค.ศ. 1948 สงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งแรกก่อผลให้ชาวปาเลสไตน์ต้องถูกบีบให้หนีออกจากแผ่นดินเกิดประมาณ 720,000-750,000 คน 1 กลายเป็นวิกฤตผู้ลี้ภัยที่ทุกวันนี้ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ชาวปาเลสไตน์เรียกเหตุการณ์นี้ในภาษาอาหรับว่า “นักบะห์” (NAKBA) หรือหายนะครั้งใหญ่ เป็นปัญหาผู้ลี้ภัยที่ต่อมากลายเป็นหนึ่งในอุปสรรคขัดขวางกระบวนการเจรจาสันติภาพตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ตลอดมา
ปาเลสไตน์และอิสราเอลต่างจดจำวิกฤติผู้ลี้ภัยครั้งนั้นในมุมที่ต่างกัน ปาเลสไตน์มองว่า ปัจจัยอันนำไปสู่วิกฤตินี้เพราะการบีบบังคับขับไล่ การสร้างความหวาดกลัว การยึดครองที่ดิน และการทำลายบ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์ที่กระทำอย่างเป็นระบบโดยกลุ่มติดอาวุธชาวยิว ขณะที่อิสราเอลพยายามสื่อสารให้โลกเข้าใจว่า มันเป็นผลอันสืบเนื่องมาจากความพ่ายแพ้ในสงครามของชาติอาหรับ และชาวปาเลสไตน์สมัครใจออกไปจากบ้านเกิดเอง
ไม่ว่าจะอย่างไร หลังสงครามปี 1948 ชาวยิวขณะนั้น ซึ่งมีประชากรแค่ร้อยละ 30 และถือครองที่ดินเพียงแค่ร้อยละ 7 สามารถจัดตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นมาได้โดยยึดครองดินแดนเดิมของชาวปาเลสไตน์ถึงร้อยละ 78 ที่เหลืออีกร้อยละ 22 (ดินแดนตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (West Bank) กาซ่า และเยรูซาเล็มตะวันออก) ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์ต่อไป แต่พอเกิดสงครามในปี 1967 ซึ่งเป็นสงครามที่อิสราเอลชนะฝ่ายอาหรับอย่างรวดเร็วภายใน 6 วัน อิสราเอลก็ยึดครองดินแดนต่างๆ ของชาติอาหรับ รวมถึงดินแดนที่เหลืออีกร้อยละ 22 ของชาวปาเลสไตน์ด้วย ก่อให้เกิดคลื่นผู้อพยพลี้ภัยของชาวปาเลสไตน์อีกระลอก
วันนี้ ชาวปาเลสไตน์แทบทั้งหมดจึงกลายเป็นคนไร้รัฐ หากไม่เป็นผู้ลี้ภัยที่กระจัดกระจายอยู่ภายนอกดินแดนบ้านเกิดของตนเอง ก็เป็นคนพลัดถิ่นในบ้านเมืองที่เคยเป็นของตนเอง ตามตัวเลขปี 2008 ขององค์การสหประชาชาติ ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ที่มีการลงทะเบียนเอาไว้มีอยู่มากถึง 4,618,141 คน แต่ถ้ารวมเอาคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนด้วย เขาสรุปตัวเลขจากการสำรวจออกมาคร่าวๆ ว่าน่าจะอยู่ที่ 7.1 ล้านคน2 โดยอาจแยกประเภทให้เห็นกันชัดๆ ดังนี้
1. กลุ่มแรก คือ ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ที่พลัดถิ่นมาตั้งแต่ปี 1948 (รวมถึงลูกหลานที่เกิดตามมาภายหลัง) และลงทะเบียนกับสหประชาชาติเพื่อขอความช่วยเหลือ มีอยู่ประมาณ 4.7 ล้านคน
2. กลุ่มที่ 2 คือ ผู้พลัดถิ่นจากสงครามปี 1948 เหมือนกัน แต่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ มีอยู่ประมาณ 1 ล้านคน
3. กลุ่มที่ 3 คือ ผู้ลี้ภัยจากสงครามปี 1967 มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 955,247 คน
4. กลุ่มที่ 4 คือ ผู้พลัดถิ่นในดินแดนของตนเองจากสงครามปี 1948 มีอยู่ 335,000 คน และ
5. กลุ่มสุดท้าย คือ ผู้พลัดถิ่นในดินแดนของตนเองจากสงครามปี 1967 มีอยู่ 129,000 คน
ภาพจาก Tor’s Palestinian Photographs: 1967
ปัจจุบันนี้ ประชากรชาวปาเลสไตน์ตามการสำรวจปี 2008 ขององค์กรเอกชนที่เรียกตนเองว่า BADIL มีอยู่รวมกันทั้งหมดประมาณ 10.6 ล้านคน โดยอยู่ใน
- เวสต์แบงก์และกาซ่า 4,360,000 คน
- อิสราเอล 1,587,000 คน
- จอร์แดน 2,839,639 คน
- ซีเรีย 422,699 คน
- เลบานอน 421,292 คน
- ซาอุดิอาระเบีย 314,226 คน
- สหรัฐอเมริกา 238,721 คน และ
- ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกอีก 303,987 คน 3
แผนที่แสดงตำแหน่งแคมป์ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในประเทศต่างๆ หลังสงครามปี 1967
แหล่งที่มา http://www.jewishvirtuallibrary.org/jsource/History/refmap67.html
หากพิจารณาจากกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ลี้ภัยมีสิทธิที่จะกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง ได้รับทรัพย์สินที่เคยเป็นเจ้าของกลับคืน และได้ค่าชดเชยความเสียหาย สมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติได้วางกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ไว้ในมติที่ 194 (III) โดยระบุรายละเอียดในเรื่อง การส่งผู้ลี้ภัยกลับสู่ถิ่นเดิมหากพวกเขาประสงค์ และอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติ หรือจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ผู้ลี้ภัยไม่ต้องการกลับ
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1974 องค์การสหประชาชาติได้มีมติที่ 3236 ออกมาใหม่ อธิบายสิทธิในการกลับสู่ถิ่นฐานของผู้ลี้ภัยว่าเป็น ‘สิทธิที่แบ่งแยกมิได้’ (Inalienable right) ขณะเดียวกัน เพื่อดำเนินงานตามมติที่ 302 (IV) สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจึงได้จัดตั้งหน่วยงานที่เรียกว่าUnited Nation Relief and Works Agency (UNRWA) ขึ้นมา ปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ UNRWA ให้นิยามผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ว่า คือบุคคลที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลในปี 1948 อย่างน้อย 2 ปี และเป็นบุคคลที่ต้องสูญเสียบ้านเรือนและวิถีการดำรงชีวิตอันเป็นผลมาจากสงครามครั้งนั้น 4
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กว่า 7 ล้านคน ต่างเรียกร้องสิทธิของการกลับคืนถิ่นของตนเองตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งกฎหมายด้านมนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชนที่ให้ความชอบธรรมในเรื่องนี้เอาไว้ ขณะที่มติ 194 ของสหประชาชาติในปี 1948 ดังที่ระบุไว้ข้างต้น ก็รับรองสิทธิของปาเลสไตน์ให้สามารถกลับคืนถิ่นหรือได้รับการชดเชยค่าเสียหาย แต่อิสราเอลก็ยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์มาตลอด โดยให้เหตุผลไว้ 3 ประการคือ
1. ในอิสราเอลมีพื้นที่คับแคบอยู่แล้ว จึงไม่มีที่ว่างสำหรับผู้อพยพชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก
2. การกลับมาของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์จะนำไปสู่ภัยคุกคามด้านความมั่นคงของอิสราเอล อันจะนำ ไปสู่ความขัดแย้ง
3. หากผู้ลี้ภัยได้กลับมาก็จะทำให้อิสราเอลไม่สามารถดำรงอยู่เป็นรัฐยิวได้ 5 (เพราะคนส่วนใหญ่จะเป็นชาวอาหรับปาเลสไตน์ในทันที)
ด้วยเหตุนี้ เวลามีการเจรจาสันติภาพระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลขึ้นเมื่อใด ปัญหาผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ก็จะกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ไม่รู้จะแก้ปัญหากันอย่างไร
แต่เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลของอิสราเอลในข้อแรกแล้วย้อนกลับมาดูผลการวิจัยก็จะพบว่า ประชากรชาวยิวกว่าร้อยละ 80 ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในดินแดนที่เป็นของปาเลสไตน์เดิมเพียงแค่ร้อยละ15 ซึ่งหมายความว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นบ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์ถูกรื้อถอนไปยังคงเป็นที่ดินที่ไร้ผู้อยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้ การอ้างเรื่องไม่มีพื้นที่เพียงพอจึงไม่สมเหตุผล
ในประเด็นข้อห่วงกังวลเรื่องความมั่นคง ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ได้ให้คำมั่นว่า การกลับมาของพวกเขาไม่ได้หมายถึงการขับไล่ชาวยิวออกจากพื้นที่ที่อยู่ปัจจุบัน แต่การกลับมาของพวกเขาจะตั้งอยู่บนหลักการของความเท่าเทียมและกรอบสิทธิมนุษยชน
ส่วนข้ออ้างสุดท้ายนั้น ทำให้การอ้างของอิสราเอลว่า เป็นประเทศประชาธิปไตยหนึ่งเดียวในตะวันออกกลางไม่เป็นความจริง เพราะเป็นประเทศที่มีพื้นที่สาธารณะไว้เฉพาะสำหรับชาวยิวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ได้ตกระกำลำบากมาเป็นเวลา 67 ปีแล้ว พวกเขาอยู่แต่ในแคมป์ผู้ลี้ภัย (มีเฉพาะบางส่วนที่ได้รับสัญชาติจากประเทศปลายทาง เช่น จอร์แดน) ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่มองไม่เห็นโอกาสและอนาคต และต่างรอคอยวันที่จะได้กลับไปถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ 15 พฤษภาคมของทุกปี จึงเป็นวันที่ชาวปาเลสไตน์ทั่วโลกต่างรำลึกถึงความหายนะหรือ ‘นักบะห์’ ของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่เน้นแนวทางสันติวิธี เป้าหมายคือ การเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในการกลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด เรียกร้องความยุติธรรมจากการที่ต้องถูกขับไล่และถูกกระทำ และเรียกร้องอิสรภาพที่ขาดหายไปนานให้กลับคืนมา
-------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
1 Morris, Benny (2001). Righteous Victims: A History of the Zionist-Arab conflict, 1881-2001 (1st Vintage Books ed.). New York: Vintage Books. pp. 252–258.
2 FAQ on the Nakba: The Nakba and Palestinian Refugees Today. Online Available at http://imeu.org/article/faq-on-the-nakba-the-nakba-and-palestinian-refugees-today เข้าสืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2015.
3 เรื่องเดียวกัน.
4 ดูรายละเอียดเรื่องดังกล่าวได้ใน "Who are Palestine refugees?". Palestine refugees. United Nations Relief and Works Agency for Palestine Refugees. http://www.unrwa.org/?id=86 เข้าสืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2015.
5 FAQ on the Nakba: The Nakba and Palestinian Refugees Today. Online Available at http://imeu.org/article/faq-on-the-nakba-the-nakba-and-palestinian-refugees-today, เข้าสืบค้นเมื่อ 10 พฤษภาคม 2015.
Keywords : นักบะห์ วันแห่งความหายนะ ปาเลสไตน์ อิสราเอล องค์การสหประชาชาติ ศราวุฒิ อารีย์